แผ่เมตตาให้ถูกวิธี
แผ่เมตตาให้ถูกวิธี
——————-
เมื่อพูดว่า “แผ่เมตตา” หลายคนจะนึกออกถึงคำว่า “สัพเพ สัตตา”
“สัพเพ สัตตา” เป็นคำขึ้นต้นในบทแผ่เมตตา
คนไทยเราเห็นจะคุ้นกับคำแผ่เมตตามานาน จนเมื่อพูดถึงคนหรือสัตว์ที่ประสบเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งและตนไม่สามารถจะช่วยเหลืออย่างไรได้ ก็มักจะพูดว่า ทำอะไรไม่ได้ก็สัพเพสัตตาเถิด
เพราะคุ้นกับ “สัพเพ สัตตา” มานาน การแผ่เมตตาก็เลยเหมือนหญ้าปากคอก เห็นกันเป็นเรื่องง่ายๆ จนกลายเป็นเรื่องล้อเล่นล้อเลียน
โปรดอ่านข้อความในภาพประกอบ
ถ้อยคำล้อเลียนแบบนี้จะไม่มีโอชะเลยถ้าคนอ่านไม่เคยรู้คำแผ่เมตตามาก่อน
ที่คิดว่าเป็น “หญ้าปากคอก” นั้น เอาเข้าจริงๆ อาจไม่ใช่
แค่บอกว่า คำในชุดนี้ไม่ได้มีแค่ “แผ่เมตตา” หรอกนะ
อ้าว ชักงงละสิ
ไม่ได้มีแค่ “แผ่เมตตา” แล้วมีแผ่อะไรอีก
ก็มีแผ่กรุณา แผ่มุทิตา แผ่อุเบกขา ครบชุดของพรหมวิหารนั่นไง
ไม่เคยได้ยินละสิท่า
ถ้าไม่เคยก็เคยซะ ศึกษาดูเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องไปพึ่งอาจารย์กู
อาจารย์ย้อยเอามาเทียบให้ถึงที่แล้ว
…………………
บทเจริญพรหมวิหาร
———————-
๑ แผ่เมตตา
……………
สัพเพ สัตตา = สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ = จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพยาปัชฌา โหนตุ = อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา โหนตุ = อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ. = จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเถิด
๒ แผ่กรุณา
……………
สัพเพ สัตตา = สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ = จงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเถิด
๓ แผ่มุทิตา
……………
สัพเพ สัตตา = สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ = จงอย่าไปปราศจากสมบัติอันได้แล้วเถิด
๔ แผ่อุเบกขา
……………
สัพเพ สัตตา = สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
กัมมัสสะกา = เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน
กัมมะทายาทา = เป็นผู้รับผลของกรรม
กัมมะโยนี = เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด
กัมมะพันธู = เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
กัมมะปะฏิสะระณา = เป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสันติ = จักทำกรรมอันใดไว้
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา = ดีหรือชั่ว
ตัสสะ ทายาทา = ภะวิสสันติ. จักเป็นผู้รับผลของกรรมอันนั้น.
…………………
รู้อย่างนี้แล้ว ทีนี้พอจะแผ่เมตตาก็ควรจะแผ่ให้ครบชุด
ข้อสำคัญอย่าว่าแต่ปาก อย่าเพียงแค่อ่านตามตัวหนังสือ แต่ควรขบคิดขยายความต่อไปด้วย คำแผ่แต่ละอย่างแต่ละคำมีความหมายอย่างไร
ขบออกด้วยตัวเองจะเกิดอรรถรส มีโอชะยิ่งกว่าที่ฟังคนอื่นอธิบาย
ติดขัดจริงๆ หรือไม่คุ้นกับสำนวนบาลีคำไหน ค่อยว่ากันเป็นคำๆ ไป
ยกตัวอย่างเสียหน่อยก็ได้
เช่นตรงคำแผ่มุทิตา คำแปลที่ว่า “อย่าไปปราศจากสมบัติอันได้แล้ว” หมายความว่า ได้ทรัพย์ ได้ยศ ได้ตำแหน่ง ได้อะไรดีๆ มา ก็ขออย่าให้สิ่งนั้นๆ หลุดหายหรือเสื่อมเสียไป ขอให้ได้อยู่ชื่นชมกันไปนานๆ เถิด – อย่างนี้เป็นต้น
…………………
ที่เราเน้นกันที่แผ่เมตตา คงจะเป็นเพราะเมตตาเป็นพื้นฐานสำคัญ เป็นฐานใหญ่ฐานหลัก ถ้าเมตตาตั้งมั่นแล้ว กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็ตามมาได้ง่าย
แต่ไปๆ มาๆ เรากลับติดกันอยู่แค่แผ่เมตตา ลืมกรุณา มุทิตา อุเบกขา ไปเสียสนิท
อย่างไรก็ตามทีเถิด แม้แต่เมตตาข้อเดียวนี่แหละ คิดดูให้ดีจะเห็นว่าสำคัญนัก
เริ่มตั้งแต่ความหมายของคำว่า “เมตตา” ไปเลย
“เมตตา” เขียนแบบบาลีเป็น “เมตฺตา” (มีจุดใต้ ต ตัวหน้า) แปลตามศัพท์ว่า“ธรรมชาติที่รักใคร่” “ธรรมชาติที่มีอยู่ในมิตร” หรือ “ธรรมชาติของมิตร”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “เมตฺตา” ว่า love, amity, sympathy, friendliness, active interest in others.
แปลเป็นไทยว่า ความรัก, ความเป็นเพื่อน, ความเห็นอกเห็นใจกัน, ความเป็นมิตร, การเอาใจใส่ช่วยเหลือผู้อื่น
ทำได้หมดตามความหมายนี้ นั่นแหละแผ่เมตตาถูกวิธีแล้ว
อาจารย์บางสำนักที่เอาแต่แก่นล้วนๆ บอกว่า แผ่เมตตาไม่จำเป็นจะต้องท่อง สัพเพ สัตตา ….
เมตตาไม่ได้อยู่ที่คำท่องบ่น เมตตาอยู่ที่ใจ
สำนักที่หนักในธรรมมากกว่านั้นก็บอกว่า คนที่จะแผ่เมตตาได้ต้องปฏิบัติธรรมถึงระดับได้ฌานสมาบัติ
คนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ นี่แผ่เมตตาไม่ได้หรอก ผิดสภาวะ
ฟังแล้วก็กลุ้มเล็กๆ
คือท่านก็พูดถูก แต่มันเป็นการตัดทางปฏิบัติธรรมแบบชาวบ้านๆ
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า แผ่เมตตาไม่ต้องท่องคำอะไร เพราะเมตตาไม่ได้อยู่ที่คำท่อง
และเดี๋ยวก็จะไม่มีใครแผ่เมตตา เพราะแต่ละคนก็ล้วนแต่ยังไม่ได้ฌานสมาบัติกันทั้งนั้น
ผมขอแนะนำแบบชาวบ้านๆ นะครับว่า ระดับเราๆ ท่านๆ นี่ ถ้าเป็นพิธีการก็พยายามทำให้ครบไตรทวารไปเลยเถอะ
เวลาแผ่เมตตาสำรวมกิริยา เช่นประนมมือได้ก็ยิ่งดี – นี่ทางกาย
ปากก็ท่องคำแผ่เมตตาไปด้วย – นี่ทางวาจา
พร้อมกันนั้นก็ตั้งจิตให้ดิ่ง ให้นิ่ง แนวแน่ ส่งใจไปตามความหมายของคำที่พูด – นี่ทางใจ
ใครจะว่าเมตตาไม่ได้อยู่ที่คำท่อง ก็ให้ท่านว่าไป
ใครจะว่าคนแผ่เมตตาต้องได้ฌานสมาบัติ ก็ให้ท่านว่าไป
แต่ในทางเนื้อหาสาระจริงๆ ควรจะมีวิธีการที่เป็นหลักสักหน่อย
ขออนุญาตเสนอแนะตามแบบที่ผมใช้อยู่ ง่ายมากครับ
นั่นคือขอให้ฝึกจิตคิดว่าคนที่เรากำลังเห็นอยู่นั้นคือ “เพื่อนรักของเรา”
มองไปทางไหน เห็นใคร รู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม ก็ให้น้อมนึกว่า “นี่คือเพื่อนรักของเรา”
พูดง่าย แต่อาจจะทำยากหน่อย
ทำยากไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้
ทำได้ครับ แต่ยาก เพราะฉะนั้นจึงต้องฝึก
ตามตำราแล้ว ท่านแนะว่าให้เริ่มจากคนที่เรารักก่อน เพราะทำได้ง่าย ฝึกทำจนจิตใจค่อยคุ้นกับความรู้สึกว่า “นี่คือเพื่อนรักของเรา”
ต่อจากนั้นจึงค่อยขยายวงไปยังคนที่เรารู้สึกเป็นกลางๆ คือไม่รักไม่ชัง
แล้วก็ขยายออกไปถึงคนที่เราไม่ชอบขี้หน้า ทะลุทะลวงไปจนถึงคนที่เป็นอริกับเรา
“นี่คือเพื่อนรักของเรา” – เจอใครก็ตั้งอารมณ์นี้ไว้ ตั้งได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร แต่จงหัดตั้งไว้เสมอ
อุปสรรคสำคัญ หรือภูเขาหิมาลัยที่ขวางใจเราอยู่ก็คือ-ความจริงที่ว่า สังคมมีทั้งคนดีและคนเลว
ก็แล้วถ้าไอ้คนที่เราพยายามคิดว่า “นี่คือเพื่อนรักของเรา” มันเป็นคนร้ายคนเลว จะให้ทำยังไง
เราน่ะคิดว่า “นี่คือเพื่อนรักของเรา”
แต่มันน่ะจ้องจะแทงเราตลอด
ก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ตั้งอารมณ์แบบนี้เป็นคนละอย่างกับพวก “โลกสวย” นะครับ
พวกโลกสวยมองทุกอย่างในแง่ดีหมด แต่แผ่เมตตาแบบนี้คือมองทุกอย่างในแง่เป็นจริง
มองคนทุกคนอย่างเป็นมิตรด้วย และมีสติรู้เท่าทันไปด้วย-ว่าทุกคนไม่ใช่คนดีทั้งหมด
แบบนี้เป็นการปฏิบัติธรรม ๒ อย่างพร้อมๆ กัน
แผ่เมตตาด้วย
เจริญสติด้วย
แผ่เมตตาคือทำดีกับคนอื่น
เจริญสติคือไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นทำชั่วกับเรา
อย่าเอาความบกพร่องของคนอื่นมาเป็นเหตุให้เราบกพร่องไปอีกคนหนึ่ง
เหมือนคนเห็นพระบางรูปประพฤติตนเป็นอลัชชี เลยประกาศเลิกใส่บาตร
มีพระอลัชชี ก็แย่อยู่แล้ว
มีคนประกาศเลิกทำความดี ยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก
ความหวาดระแวงหรือชิงชังคนอื่น ไม่ได้ช่วยให้สังคมดีขึ้น
แต่การฝึกมองคนอื่นว่า “นี่คือเพื่อนรักของเรา” ช่วยทำให้จิตใจเราดีขึ้น
…………………
เมตตาก็คือไมตรี
โปรดระลึกไว้ว่า ไม่มีใครเลยที่ไม่ชอบไมตรี
แม้แต่คนที่เราเกลียด ยามใดที่เราเห็นกิริยาวาจาของเขาที่แสดงถึงความมีไมตรีกับเรา ปากพาลๆ ของเราอาจจะบอกว่าหมั่นไส้ แต่ลึกๆ ในใจคงยากที่จะเกลียดไมตรีของเขา
เพลงยาวถวายโอวาทของสุนทรภู่กล่าวไว้ว่า –
ปรารถนาสารพัดในปัถพี
เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง
พระอภัยมณีตอนกษัตริย์สามัคคี พระฤๅษีเทศนาตอนหนึ่งว่า –
…………………
ประการหนึ่งซึ่งขาดพระศาสนา
ทั้งโลกาเกิดทุกข์ถึงยุคเข็ญ
ซึ่งจะกลับดับร้อนให้ผ่อนเย็น
ก็ต้องเป็นไมตรีปรานีกัน
…………………
เราหลายคนตั้งความปรารถนาขอไปเกิดในศาสนาพระศรีอารย์
พระศรีอารย์นั้นชื่อจริงๆ ที่ถูกต้องคือ “พระเมตไตรย”
“เมตไตรย” คำบาลีว่า “เมตฺติ” คำเดียวกับที่เราใช้ว่า “ไมตรี” ในภาษาไทย
ถ้าน้ำใจไมตรีที่รออยู่ตรงหน้าในชาตินี้เอง เรายังไม่สร้างไม่ทำกัน
แล้วจะไปหวังให้ทันศาสนาพระศรีอารย์กันในชาติไหน?
เคยสังเกตไหมว่า สัตว์เดรัจฉานนั้นแค่มันไม่ทำร้ายกันและกันก็ประเสริฐแล้ว
แต่จะให้มันมีไมตรีต่อกัน ยากมาก
ตอนมันมีลูก สัตว์หลายชนิดคาบอาหารมาเลี้ยงลูก แต่พอลูกโต มันก็ไม่ทำแล้ว
ยังไม่เคยมีสัตว์ชนิดไหนคาบอาหารไปเลี้ยงพ่อแม่ หรือไปเผื่อญาติมิตร นอกจากในนิทานชาดก
สำหรับมนุษย์ การมีเมตตา-ไมตรีในหมู่ญาติเป็นเรื่องปกติ แต่การมีเมตตา-ไมตรีไปในหมู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นเรื่องแสนประเสริฐ
ผมเห็นภาพช้างช่วยแม่สิงโตพาลูกเดินทาง
ถ้าไม่ใช่ภาพจัดฉาก ก็น่าทึ่งมาก-ที่สัตว์ต่างสายพันธุ์ยังรู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ถ้ามนุษย์เราไม่สามารถจะมองกันได้ด้วยความรู้สึกว่า “นี่คือเพื่อนรักของเรา”
ผมว่าเรากำลังจะรูดลงไปเท่ากับสัตว์ หรือเผลอๆ อาจจะเตี้ยกว่าสัตว์บางชนิดด้วยซ้ำไป
น่ากลัวนะครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๓ มีนาคม ๒๕๖๓
๑๔:๓๖
…………………………….
ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย…………………………….