บาลีไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
บาลีไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
———————————-
มีพระคุณท่านรูปหนึ่งแสดงความคิดเห็นท้ายโพสต์บาลีวันละคำเมื่อวานนี้ (๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ : #บาลีวันละคำ (1,721) : ศาสนภัย)
ผมถ่ายรูปข้อความมาลงประกอบเรื่องวันนี้ด้วยแล้ว
ขอคัดขอความมาให้อ่านดังนี้
………………………
พระเจษฎา โกฎิเเก้ว ·
“ไม่มีหลักฐานครับว่าพระพุทธเจ้าพูดบาลี เพราะหลักฐานที่เก่าแก่คือพวกศิลา และศิลาเหล่านั้นเกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 200 กว่าปี สมัยพระพุทธเจ้าใช้การทรงจำ ไม่ใช่การเขียน”
ข้อความข้างบน..ลอกมาจากการสนทนากับโยมคนหนึ่ง เขาพูดถูกไหม.. คืออาตมาเเสดงความคิดเห็นไว้ว่าพระต้องเรียนบาลี ภาษาบาลีเป็นภาษาที่รักษาพุทธวจนะ โยมเขาบอกว่าไม่มีหลักฐานว่าพระพุทธเจ้าเผยเเพร่เป็นภาษาบาลี โยมเขาบอกว่าพระพุทธเจ้าเผยแพร่พระธรรมเป็นภาษาอื่น รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วย..
(จบความคิดเห็น)
………………………
ทีแรกคิดว่าจะเขียนตอบลงไปที่ท้ายความคิดเห็นนั้นเลย แต่พอลงมือเขียน ก็ทำท่าจะยาว แล้วก็เห็นว่าถ้าเอามาขึ้นสเตตัสใหม่ ญาติมิตรน่าจะได้อ่านกันทั่วถึง จึงเป็นที่มาของโพสต์วันนี้ครับ
คำตอบของผมมีดังนี้ –
………………………
เรื่องนี้มีผู้ตีรวนมาตลอด คือต้องการจะหักล้างว่าพระไตรปิฎกที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีนั้นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
หลักคิดในเรื่องก็คือ
๑ พระพุทธเจ้ามีตัวตนอยู่จริงในโลก ไม่ใช่ตำนานปรัมปราเหมือนเทพนิยาย
๒ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง
๓ พระพุทธเจ้าตรัสสอนสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้คือ “พระธรรมวินัย” จริง และมีผู้ได้ยินได้ฟังคำสอนนั้นจริง ไม่ใช่ตรัสรู้แล้วก็หายเงียบไปเลย
๔ ภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัสจะต้องเป็นภาษาคน คือพูดออกไปแล้วคนฟังเข้าใจ
ภาษาที่ว่านี้จะเรียกชื่อว่าภาษาอะไร ใครอยากรู้ก็ไปสืบค้นเอาเอง แต่ถึงเราจะไม่รู้ว่าชื่อภาษาอะไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่อยู่ที่พระองค์ตรัสสอนเรื่องอะไร และตรัสสอนว่าอย่างไร
๕ หลักฐานเก่าสุดที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรารู้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้คือ “พระไตรปิฎก”
หมายความว่า ถ้าอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องอะไร และตรัสสอนว่าอย่างไร ก็ต้องไปอ่านจากพระไตรปิฎก
๖ พระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาเถรวาท (คืออย่างที่นับถือกันอยู่ในเมืองไทย ลาว พม่า ลังกา) เป็นภาษาที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “บาลี” หรือ “ภาษาบาลี” หรือบางทีก็เรียกว่า “ภาษามคธ” แต่ใครจะเรียกชื่อภาษานี้ว่าภาษาอะไรก็แล้วแต่จะเรียก
นั่นคือ แล้วแต่จะตกลงกันว่าเวลาพูดถึงภาษาที่ใช้บันทึกพระไตรปิฎก ให้เรียกว่าภาษา x y z อะไรก็ตกลงกันไป ขอให้เข้าใจตรงกันก็แล้วกันว่าหมายถึงภาษาที่ใช้บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าอันท่านรวบรวมไว้ในสิ่งที่ตกลงเรียกกันในเวลานี้ว่า “พระไตรปิฎก”
๗ เวลานี้คนทั่วไปตกลงกันว่า ให้เรียกชื่อภาษานี้ (ตามข้อ ๕) ว่า “ภาษาบาลี”
๘ แต่ใครพอใจจะโต้เถียงว่าภาษานี้ไม่ใช่ภาษาบาลี หรือภาษานี้ไม่ได้เรียกว่าภาษาบาลี แต่เรียกว่าภาษา x y z อะไร ก็ให้เขาเถียงกันเอาเอง เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเถียงด้วย เพราะเป้าหมายของเราในการนับถือพระพุทธศาสนาอยู่ที่-ต้องการจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องอะไร และตรัสสอนว่าอย่างไร เพื่อที่เราจะได้ประพฤติปฏิบัติตามได้ถูกต้อง
๙ เวลานี้เราก็รู้กันและยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า พระไตรปิฎกเป็นแหล่งรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือถ้าใครอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องอะไร และตรัสสอนว่าอย่างไร ก็ต้องไปอ่านจากพระไตรปิฎกดังที่ว่าแล้ว
๑๐ แต่ถ้าใครจะบอกว่า “ข้อความในพระไตรปิฎกที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีนี้ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า” ก็มีสิทธิ์ที่จะพูดได้ และพูดได้อย่างเต็มที่ด้วย ดังที่มีผู้ใช้สิทธิ์พูดเช่นนั้นกันมาตลอด
แม้แต่พระภิกษุที่กำลังบวชอยู่ในพระพุทธศาสนานั่นเองก็เคยใช้สิทธิ์พูดเช่นนั้นกันมาแล้ว เช่นบอกว่า
พระอภิธรรมปิฎกไม่ใช่พระพุทธพจน์
พระวินัยปิฎกตรงนั้นตรงโน้นก็ไม่ใช่พระพุทธพจน์
พระไตรปิฎกนั้นฉีกทิ้งเสียสัก ๖๐ เปอร์เซ็นต์ก็ยังได้
พระสูตรนั้นพระสูตรนี้ไม่ใช่พระพุทธพจน์
ข้อความตรงนั้นตรงนี้ในคัมภีร์เล่มนั้นเล่มนี้พูดไว้ผิด พูดแบบนั้นไม่ใช่พระพุทธพจน์
ฯลฯ
“ไม่ใช่พระพุทธพจน์” คือไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า-ก็มีผู้ประกาศให้ได้ยินกันอยู่เสมอ
๑๑ โปรดทราบว่า ทุกคนทุกฐานะมีสิทธิ์วิจารณ์ได้เต็มที่ และควรวิจารณ์กันให้มากๆ ด้วย จะได้ช่วยกันพิจารณาว่าใครโง่ใครฉลาด
๑๒ เมื่อบอกว่า “ข้อความในพระไตรปิฎกที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีนี้ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า” ต่อจากนั้นถ้าเชื่อว่าคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ก็แสดงหลักฐานมาให้ดูกัน และสมควรแสดงอย่างยิ่ง เพื่อคนทั้งหลายจะได้ใช้สติปัญญาช่วยกันพิจารณา และเมื่อพิจารณาแล้ว ใครชอบใจคำสอนแบบไหนก็มีสิทธิ์ที่จะเชื่อที่จะนับถือที่จะปฏิบัติตามได้อย่างเต็มที่ ไม่มีข้อขัดข้องตรงไหนเลย
๑๓ แต่ไม่ว่าใครจะมีหลักฐานชั้นสุดยอดมาจากที่ไหนอีกก็ตาม เวลานี้พระไตรปิฎกที่เป็นภาษาบาลีก็ยังคงเป็นหลักฐานชั้นปฐมภูมิ (Primary sources) สำหรับใช้อ้างอิงว่าอะไรเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อะไรไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า และยังจำเป็นจะต้องรักษาหลักฐานนี้ไว้เพื่อให้ผู้คนได้พิสูจน์หรือตรวจสอบกันด้วยสติปัญญา
ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นคนละประเด็นกัน
ไม่ใช่ว่า-พอมีใครบอกว่า “ข้อความในพระไตรปิฎกที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีนี้ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า” เราก็เลยฉีกพระไตรปิฎกทิ้ง หรือชวนกันเผาพระไตรปิฎกให้สิ้นซากไปจากโลก โดยที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า-แล้วคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าว่าอย่างไร อยู่ที่ไหน
๑๔ อันที่จริงควรจะตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า เราทุกวันนี้ศึกษาคำสอนในพระไตรปิฎกทั่วถึงแล้วหรือ และได้ปฏิบัติตามทั่วถ้วนแล้วหรือ จึงรู้ว่านั่นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริง
หรือเป็นแต่เพียงมันไม่ตรงกับที่เราเข้าใจ หรือไม่ตรงกับที่เราชอบ เราก็เลยบอกว่าไม่ใช่
หรือเป็นเพราะมีใครประกาศคำสอนที่ผิดพลาดออกมา แล้วเกิดอาการ “ผิดไม่เป็น” จึงต้องพยายามหาวิธีอธิบายผิดให้กลายเป็นถูก และหนึ่งในวิธีที่ว่านั่นก็คือบอกว่า-พระไตรปิฎกไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำสอนของข้าพเจ้าหรือของอาจารย์ข้าพเจ้าจึงย่อมมีสิทธิ์ที่จะเป็นคำสอนที่ถูกต้อง
๑๕ โปรดสังเกตว่า บูรพาจารย์ที่ท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมนั้นท่านไม่เสียเวลาที่จะมาสงสัยว่าพระพุทธเจ้าพูดภาษาอะไร พระไตรปิฎกเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่ แต่ท่านลงมือเลือกเฟ้นวิธีปฏิบัติที่เหมาะแก่จริต แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจนได้ลิ้มรสพระธรรมไปแล้วเป็นจำนวนมาก
ในขณะที่คนอีกเป็นจำนวนมากยังเถียงกันไม่เสร็จว่าพระพุทธเจ้าพูดภาษาอะไร พระไตรปิฎกเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่
๑๖ อุปมาเหมือนคนป่วย บางพวกพอรู้ว่าต้องใช้ยาอะไรและใช้อย่างไร ก็ลงมือรักษาตัวทันที
แต่บางพวกมีความสุขที่จะสืบสวนว่า หมอคนนี้จบจากสำนักไหน ตัวยาชนิดนี้เข้าสมุนไพรอะไรบ้าง สมุนไพรชนิดนั้นมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบไหนของโลกและมีสรรพคุณรักษาโรคอะไรได้บ้าง ฯลฯ
ไม่ใช่ว่าการศึกษาสืบค้นประวัติศาสตร์จะไม่มีประโยชน์ แต่ควรจะมีกรอบขอบเขตที่ดี และจัดลำดับความเร่งด่วนให้เหมาะสม
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
๑๘:
…………………………….
…………………………….