เมื่อผมเรียนบาลี ตอน ๑
เมื่อผมเรียนบาลี ตอน ๑
———————–
…………………
ผมสงสัยมานานแล้วครับ
– ย้อนไปในสมัยที่เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้า กองบาลีนั้น พิมพ์ข้อสอบอย่างไร มีรูปแบบอย่างไร แล้วการจัดส่งข้อสอบนั้น กองบาลีจัดพิมพ์ให้เองเหมือนสมัยนี้หรือไม่ ?
– แล้วการประกาศผลสอบ ก่อนที่กองบาลีจะมาตั้งอยู่ที่วัดปากน้ำ ประกาศผลกันอย่างไร บรรยากาศการติดตามผลสอบสมัยก่อนของพระหนุ่มเณรน้อยเป็นอย่างไร ?
จึงขอความเมตตาท่านผู้รู้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของนักเรียนบาลี การสอบบาลีสมัยก่อน (จะเป็นของตัวท่านเองก็ได้) ให้เราพระหนุ่มเณรน้อยได้ทราบจะได้เล่าให้อนุชนเขารับรู้ได้ถึงประวัติศาสตร์เล็กๆ น้อยๆ นี้ ขอความเมตตาโดยเฉพาะรุ่นเก่าๆ ครับ
ถ้าได้อ่านประวัติศาสตร์เล็กของอาจารย์
ในช่วงบรรยากาศแบบนี้คงเป็นกำลังใจของผู้ที่จะเข้าสอบซ่อมบาลีในไม่ช้านี้นะขอรับ
“ลุงเอก เดียวดาย”
๒๕ มีนาคม ๒๕๖๐
…………………
ผมเริ่มเรียนบาลีเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๖ ตอนนั้นเป็นสามเณรจากวัดหนองกระทุ่ม อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี เข้ามาเรียนบาลีที่วัดในตัวเมือง คือวัดมหาธาตุ ราชบุรี
สูตรมาตรฐานสมัยโน้นคือ เรียนไวยากรณ์ ๒ ปี แปลธรรมบทอีก ๑ ปี แล้วเข้าสอบเปรียญธรรม ๓ ประโยค
ตอนนั้นยังไม่ได้แยกเป็นประโยค ๑-๒ หมายความว่า เปรียญธรรม ๓ ประโยคต้องเรียนแปลธรรมบททั้ง ๘ ภาค ไม่ใช่ ๔ ภาคเหมือนเวลานี้
สูตรมาตรฐานสมัยโน้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ นักเรียนต้องแม่นแบบไวยากรณ์
นักเรียนจะต้องท่องแบบไวยากรณ์ให้ครูฟังในชั้นเรียนเป็นกิจวัตรประจำวัน นักเรียนที่ไม่แม่นแบบจะโดนขนาบอย่างหนัก และถ้าไม่แม่นอยู่เรื่อยๆ ก็จะเรียนไม่ทันเพื่อน และที่สำคัญ-ก็จะเรียนไม่รู้เรื่อง
กล่าวได้ว่า “ท่องแบบให้ได้คือหัวใจของการเรียนบาลี”
นักการศึกษาคนไหนที่โจมตีระบบการเรียนแบบที่ให้เด็กท่องจำว่าเป็นระบบที่ผิดพลาด ใช้ไม่ได้ การศึกษาที่ถูกต้องไม่ใช่ให้เด็กท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง …
ท่านจะเอาทฤษฎีเทวดาแบบนี้มาใช้กับการเรียนบาลีไม่ได้ ต่อให้ท่านไปเกิดเป็นหนอนอยู่ในตู้พระไตรปิฎกก็ตาม
ท่านจะแปลศัพท์ตัวไหนออก ท่านต้องรู้สูตรมาก่อนว่าศัพท์ตัวนั้นต้องผ่านกรรมวิธีอะไรมาบ้างจึงมาเป็นศัพท์ให้เราจ้องมองอยู่ตรงหน้าได้
จะรู้สูตรได้ ท่านต้องจำ
จะจำได้ ท่านต้องท่อง
(ยกเว้นคนมีสมองมหัจฉริยะ อ่านครั้งเดียวจำไปได้ ๕๐๐ ชาติ)
อานิสงส์ของการท่องแบบได้ก็คือ มันจะเป็นสมบัติติดตัวไปตลอดชาติ เพราะตั้งแต่ประโยค ๓ ไปจนถึงประโยค ๙ ท่านจะต้องพึ่งพาอาศัยไวยากรณ์ทุกประโยคไป
และต่อจากนั้นเมื่อทำงานค้นคว้าพระคัมภีร์ แบบไวยากรณ์จะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ช่วยให้อบอุ่นใจมากที่สุด และช่วยให้ทำงานได้สนุกที่สุด แบบเดียวกับสำนวนร่ายยาวในมหาเวสสันดรกัณฑ์ชูชก
… ยิ่งเที่ยวมันก็ยิ่งได้ ยิ่งไปมันก็ยิ่งเพลิน …
เครื่องช่วยการเรียนสมัยผม อย่างดีที่สุดที่พอจะหาได้ก็คือ-ฟังเทป
ฟังเทปที่ว่านี้หมายถึงฟังสำนวนการแปลธรรมบทโดยวิธีแปลยกศัพท์และแปลโดยพยัญชนะที่มีผู้อ่านบันทึกเทปไว้แล้วอัดแจกจ่ายไปในหมู่มิตรสหาย
เทปที่ว่านี้ไม่ได้มีอยู่ทั่วทุกตัวคน แต่มีเพียงบางแห่ง บางวัด หรือบางคน ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าใครสำนักไหนมีเทป พอถึงเวลาก็จะนัดหมายกันไปฟัง
แต่อย่างไรก็ตาม ฟังเทปเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น ส่วนที่เป็นหลักจริงๆ คือการเรียนกับครูบาอาจารย์ในชั้นเรียน
สำนักเรียนวัดมหาธาตุ ราชบุรี มีชั้นเรียนตั้งแต่ชั้นไวยากรณ์ไปจนถึงประโยค ๔ เท่านั้น พอขึ้นประโยค ๕ ไม่มีชั้นเรียน นักเรียนทุกคนต้องพึ่งตัวเองเต็มเวลา อย่างที่เรียกรู้กันว่า “ดูหนังสือเอาเอง”
ถึงตอนนั้นถ้าใครบริหารเวลาได้ดีมีประสิทธิภาพ โอกาสสอบผ่านก็มีสูง
สำหรับผมเอง มีตารางเวลาที่จัดไว้ตั้งแต่เริ่มเรียนไวยากรณ์ ดังนี้ –
๐๔๐๐ ตื่น ท่องแบบไวยากรณ์ หรือทบทวนหลักทั่วไปที่ต้องใช้ความจำ
๐๖๐๐ ออกบิณฑบาต (ช่วงบ้าเรียนถึงกับจดใส่ฝ่ามือเดินท่องไปด้วย)
๐๘๐๐ ทำวัตรเช้า
๐๙๐๐ ดูหนังสือแปลด้วยตัวเอง
๑๑๐๐ ฉันเพล
๑๓๐๐ เข้าชั้นเรียน
๑๗๐๐ ทำวัตรเย็น (รวมทั้งกวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย์ตามกิจวัตร)
๑๘๓๐ เวลาอิสระ
๑๙๐๐ ลงมือดูหนังสือแปลด้วยตัวเอง
๒๒๐๐ จำวัด
๐๔๐๐ ตื่น ท่องแบบไวยากรณ์ หรือทบทวนหลักทั่วไปที่ต้องใช้ความจำ
ตารางเวลาที่ว่านี้ผมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จะมีเปลี่ยนแปลงบ้างก็เฉพาะกรณีมีกิจส่วนรวมของสงฆ์ที่ต้องช่วยกันทำ แต่กิจวัตรที่เป็นหลักๆ ต้องทำตามเวลา
เคล็ดลับส่วนตัวของผมในช่วงเวลาที่เรียนแปลธรรมบทก็คือ
ข้อ ๑ ไม่อาศัยหนังสือแปลสำเร็จรูป ที่เรียกกันว่า หนังสือแปลยกศัพท์ เหตุผลก็คือ หนังสือแปลยกศัพท์ทำให้นักเรียนไม่ต้องคิดอะไรด้วยตัวเอง พูดภาษาปากก็ว่า-อาศัยจำลูกเดียว แบบนี้สมองไม่ได้ออกกำลังเลย ผมว่ามันไม่ถูก อย่างน้อยก็ไม่เหมาะสำหรับผม
ผมชอบหนังสือแปลที่เรียกว่า “เผด็จ” คือแปลโดยอรรถที่มหามกุฏฯ พิมพ์เผยแพร่ครบทั้ง ๘ ภาค
วิธีการของผมก็คือ
1 เอาธัมมปทัฏฐกถาและเผด็จภาคที่แปลมาเปิดคู่กัน
2 อ่านบาลีและแปลด้วยตัวเองไปประโยคหนึ่ง แล้วดูเผด็จว่าตรงกับที่เราแปลหรือไม่
3 ถ้าตรง ก็ผ่านประโยคนั้นไป ไม่ต้องกังวล ถ้าเจออีกก็แปลได้อีกเหมือนเดิมเพราะแปลด้วยความรู้ความเข้าใจของเราล้วนๆ และตรงกับที่เผด็จแปลไว้
4 ถ้าไม่ตรง ก็หาข้อบกพร่องว่าผิดตรงไหน แล้วปรับกระบวนท่าใหม่
5 ถ้าเป็นประโยคซับซ้อน แปลด้วยตัวเองไม่ถูกแน่ๆ ก็ใช้วิธีคัดลอกเฉพาะข้อความตรงนั้นลงในสมุด เก็บรวบรวมไว้สำหรับท่องจำเป็นพิเศษ เพราะถ้าเจออีก ก็คงแปลไม่ถูกอีกเพราะความรู้เรายังอ่อน จึงต้องอาศัยท่องจำเข้าช่วย
ใช้วิธีนี้ เมื่อแปลจบทั้ง ๘ ภาคแล้วก็จะมีส่วนที่เราจะต้องท่องจำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รวมทั้ง ๘ ภาคมีเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ อีกทั้งเมื่อดูทบทวนจนเข้าใจได้ดีแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องท่อง เพราะเข้าใจแล้ว เจออีกก็แปลได้ถูกอีก
เคยถามนักเรียนรุ่นใหม่ว่า อ่านเผด็จบ้างหรือเปล่า ปรากฏว่านักเรียนงง ย้อนถามว่าเผด็จคืออะไร
ไม่ถึงชั่วอายุคน นักเรียนบาลีไม่รู้จัก “เผด็จ” เสียแล้ว น่าเสียดาย
ข้อ ๒ ผมไม่เคยใช้วิธีเก็งข้อสอบ แต่ใช้วิธีเก็งทั้ง ๘ ภาค หมายความว่าเตรียมความรู้ให้พร้อม ออกตรงไหน พร้อมที่จะแปลได้ทุกเรื่อง
ข้อ ๓ ก่อนสอบ ๗ วัน ผมจะพักผ่อนเต็มที่ เปิดสมองเต็มที่ ลืมตำราเรียนสนิท เที่ยวไปตามมิตรสหายแบบคนไม่มีงานอะไรจะทำ
และพอพรุ่งนี้จะถึงวันสอบ ผมจะจำวัดแต่หัวค่ำ หลับเต็มตื่น เข้าสนามด้วยร่างกายและจิตใจที่พร้อมเต็มร้อย
ผมทำแบบนี้มาทุกประโยค
ตอนต่อไปจะเล่าถึงเทคนิคการทำข้อสอบครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๕ มีนาคม ๒๕๖๐
๑๘:๑๗
…………………………….
…………………………….