บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

รำพึงรำพันเกี่ยวกับวันเกิด (๓) 

——————————-

(ภาพประกอบตอนนี้ ผมอธิบายไว้ตอนท้ายของเรื่องนะครับ) 

………………….

ผมเกิด พ.ศ. ๒๔๘๘ ปีนี้ พ.ศ.๒๕๖๒ ผมอายุ ๗๕ เต็ม 

อายุ ๗๕ นั้นถ้าคิดตามเกณฑ์อายุขัยของมนุษย์สมัยนี้ก็ต้องถือว่าสิ้นอายุแล้ว

อายุขัย” แปลว่า “สิ้นอายุ” 

อายุขัยของมนุษย์แต่ละยุคสมัยแตกต่างกัน บางยุคมนุษย์มีอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี (แปดหมื่นปี) นี่ว่าตามคัมภีร์พระพุทธศาสนา 

ยุคนี้ท่านว่าอายุขัยของมนุษย์คือ ๑๐๐ ปี 

วิธีคิดอายุขัยก็คือ ท่านให้นับปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นเพดานอายุขัย คือมนุษย์อายุ ๑๐๐ ปี 

เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานครบ ๑๐๐ ปี ให้ลดเพดานลง ๑ ปี

๑๐๐ ปี ลดลง ๑ ปี – ใช้เกณฑ์นี้ไปเรื่อยๆ 

บัดนี้พระพุทธเจ้าปรินิพพานมาแล้ว ๒๕๐๐ ปี – คิดตัวเลขกลมๆ

เพดานอายุขัย-จาก ๑๐๐ ปีจึงลดลงไป ๒๕ ปี นั่นก็คือเหลืออายุขัยเพียง ๗๕ ปี 

นี่คือที่ผมบอกว่า-อายุ ๗๕ นั้นถ้าคิดตามเกณฑ์อายุขัยของมนุษย์สมัยนี้ก็ต้องถือว่าสิ้นอายุแล้ว

สรุปว่า ตามเกณฑ์อายุขัย ผมสมควรตายได้แล้ว

เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลาต่อจากนี้ ถ้าใครได้ยินข่าวว่า นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ตาย ก็ขออย่าได้แปลกใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นการตายตามอายุขัย เป็นเรื่องปกติ 

ถ้าพูดให้ครึกครื้นก็พูดได้ว่า-สมควรตาย 

ผมจึงขอเชิญญาติมิตรทั้งปวงเป็นการล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้-ให้ไปร่วมงานศพของผมโดยทั่วกัน 

และขออภัยที่ไม่ได้ไปเชิญด้วยตนเอง

—————-

แม้จะรู้ว่าบัดนี้อายุขัยคนมีแค่ ๗๕ แต่ผมก็ตั้งความประสงค์ไว้ว่าจะอยู่ไปจนถึงอายุ ๘๐ เหตุผลสำคัญก็คือ-เท่ากับอายุพ่อผม (พ่อผมตายอายุ ๘๐) 

กับอีกประการหนึ่ง ประสงค์จะอยู่ทำประโยชน์ให้แก่โลกตามเส้นทางที่ผมศึกษาเล่าเรียนมา นั่นคือศึกษาและเผยแผ่พระธรรมวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่จะพอมีสติปัญญาทำได้ 

คำว่า “ศึกษา” ในพระพุทธศาสนานั้นย่อมหมายถึงปฏิบัติพัฒนาตนเองไปด้วย ไม่ใช่เพียงแค่เรียนเพื่อรู้ 

ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทำอะไรๆ กับพระคัมภีร์หลายๆ อย่าง 

ลงมือทำไปแล้วบ้าง ยังไม่ได้ทำบ้าง 

ระยะหลังๆ มานี้ เมื่อมีสังคมออนไลน์เกิดขึ้น ผมได้รับสิ่งที่ผมเรียกเองว่า “การบ้าน” เข้ามาเป็นอันมาก ในระดับที่ผมเรียกเอาเองอีกเช่นกันว่า “การบ้านท่วมหัว” ทำให้ต้องใช้เวลาไปกับการศึกษาค้นคว้าเพื่อตอบการบ้านจนแทบจะกลายเป็นงานหลักในชีวิตประจำวัน 

การบ้านหลายๆ เรื่องผมตอบออกมาในรูปของ “บาลีวันละคำ” ซึ่งเป็นงานที่กลายเป็นภารกิจประจำวันของผมไปแล้วโดยที่ไม่เคยได้ตั้งใจมาก่อน 

ผมเคยเล็งๆ ไว้ว่า เกษียณอายุราชการแล้ว มีชีวิตต่อไปอีก ๒๐ ปี เพื่อทำงานใช้หนี้พระศาสนา ก็คงพอจะปลดเปลื้องหนี้ไปได้บ้างนิดหน่อย 

แต่เวลานี้ เอางานที่คิดจะทำเพื่อพระศาสนามาคลี่ดูตรงหน้า รวมกับการบ้านที่รับเข้ามา ผมว่าอยู่ไปจนอายุ ๑๒๐ ปีเท่าพระอานนท์ก็ยังทำงานไม่เสร็จ 

ผมโชคดีอยู่บ้างที่สุขภาพร่างกายไม่สร้างปัญหา ผมไม่ต้องกินยา ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ต้องแก้ปัญหาตรงนั้นตรงนี้เหมือนคนทั่วไปในวัยเดียวกัน 

ผมใช้วิธีดูแลสุขภาพตามธรรมชาติ คือตรวจสุขภาพตัวเองด้วยระบบธรรมชาติ ตื่นเช้าขึ้นมาก็สำรวจความปกติของร่างกายด้วยตัวเอง บริหารร่างกายด้วยวิธีเดินออกกำลัง-ทำความรู้สึกเหมือนพระออกบิณฑบาตทุกเช้า 

กินแต่พอประมาณ ทำงานสนุก พักผ่อนพอดีๆ 

ผมค้นพบความจริงเฉพาะตัวผมเองว่า การทำงานคือการพักผ่อนที่วิเศษที่สุด ผมจึงไม่เคยมีโปรแกรมที่จะต้องหยุดงานเพื่อไปพักผ่อนแบบที่คนทั่วไปนิยมทำกัน 

เพราะ-การทำงานคือการพักผ่อนที่วิเศษที่สุดอยู่แล้วในตัว

กับอีกประการหนึ่ง ผมได้พบขุมทรัพย์อันประเสริฐจากพระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ ๙ ในช่วงเวลาที่ทำหน้าที่เป็นวิทยากรโครงการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาทตอนที่ยังรับราชการอยู่ 

มีพระบรมราโชวาทองค์หนึ่งที่ผมศึกษาแล้วกลั่นออกมาใช้เป็นยาบำรุงชีวิตของตัวเอง นั่นคือ – 

“ความสำเร็จของงานคือรางวัลอยู่แล้วในตัว” 

เมื่อผมทำงาน (ที่กองท่วมหัวอยู่ดังที่ว่ามาข้างต้น) สำเร็จไปเรื่องหนึ่ง ผมก็ได้รางวัลทันที ไม่ต้องไปรอให้ใครให้รางวัลอะไรอีก เพราะ-“ความสำเร็จของงานคือรางวัลอยู่แล้วในตัว” 

ชีวิตผมจึงได้รับรางวัลทุกครั้งที่ทำงานสำเร็จ วันละหลายๆ รางวัล 

ผมก็จึงได้รับยาบำรุงชีวิตอยู่ทุกวัน

นี่เป็นเคล็ดลับประจำชีวิตของผม บอกกันได้ แต่ใครจะทำได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ช่วยกันไม่ได้ 

—————-

เนื่องจากผมเดินออกกำลังทุกเช้าเป็นกิจประจำวัน ดังนั้น นอกจากทำประโยชน์ให้แก่โลกด้วยการทำงานใช้หนี้พระศาสนาเป็นกิจประจำชีวิตแล้ว บางวันผมก็ได้ทำเรื่องที่ถือว่าเป็นสีสันของชีวิตเล็กๆ น้อยๆ อยู่เนืองๆ 

งานที่เป็นสีสันของชีวิต-ตามที่ผมเรียกเอาเองนี้ มี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ ๑ งานที่วิ่งมาชนเรา เช่น เตือนรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับสวนมาที่ลืมเอาขาตั้งขึ้น และบอกทางให้แก่รถที่หลงทางเป็นต้น-ดังที่ผมเคยนำมาเล่าสู่กันฟังบ้างแล้ว และ ๒ งานที่เราเดินไปชนมัน ดังที่ผมจะขอเล่าเป็นตัวอย่างในที่นี้

ในเดือนเกิดของผม-คือเดือนมิถุนายน-ปีนี้ ผมมีโอกาสเดินไปชนงานอันเป็นการเติมสีสันเล็กๆ ให้ชีวิตในช่วงเวลาเดินออกกำลัง อย่างน้อยก็ ๒ ครั้ง ที่ผมเผอิญมือไวอยากถ่ายรูปไว้ดูเล่นด้วย (ที่ทำแล้วทำเลย ไม่มีหลักฐาน ยังมีอีกบ่อยๆ) 

โปรดดูภาพประกอบ

๔ ภาพข้างต้นเกิดขึ้นเมื่อวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ (วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๒) ก่อนวันเกิดทางจันทรคติของผม ๑ วัน 

๒ ภาพหลัง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ หลังวันเกิดทางสุริยคติของผม ๑ วัน 

ภาพคู่แรก เป็นไม้ที่ติดยึดป้ายโฆษณาข้างทาง ติดไว้กับต้นไม้บนทางเท้า ปลายไม้ยื่นออกมาอยู่ในรัศมีทางเดิน ใครเดินไม่ระวังอาจชนและถูกไม้ทิ่มเอาได้ (ภาพแรก)

ผมเดินผ่านไป ก็จัดการปรับทิศทางของปลายไม้ให้พ้นรัศมีทางเดิน (ภาพหลัง) 

ภาพคู่ที่ ๒ เป็นป้ายโฆษณาที่หลุดลงมาพังพาบอยู่กับพื้นทางเท้า กินเนื้อที่กว่าครึ่งของทางเท้า (ภาพแรก)

ผมเดินผ่านไป ก็จัดการยกป้ายขึ้นพิงไว้กับกำแพง และให้อยู่หลังต้นไม้เพื่อที่ว่าถ้าป้ายจะล้มอีก ก็ยังมีต้นไม้ขวางไว้ (ภาพหลัง) 

ภาพคู่ที่ ๓ อันนี้เหตุเกิดในซอยบ้านลูกชาย (ซอยวัดหลวงพ่อโต บางพลี) ผมเดินออกกำลังตอนเช้าไปทางถนนเทพรัตน (ถนนบางนา-ตราดเดิม) ไปเจอกิ่งไม้แห้งหล่นลงมาบนทางเท้า (ภาพแรก) 

คนอื่นๆ เดินผ่านมาแล้วก็ผ่านไป 

แต่ไม่ใช่ทองย้อย 

ผมก็จัดการยกย้ายออกให้พ้นทางเท้า (ภาพหลัง) 

กิจเหล่านี้เป็นกิจที่ทำได้ง่ายๆ แต่ไม่มีใครคิดจะทำ 

เรื่องตามภาพประกอบที่ผมเอามาลงให้ดูและเอามาเล่าให้ฟังนี้ เป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างยิ่ง แต่ผม-ผู้ทำ-รู้สึกได้ว่าเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่ได้ทำ 

การกระทำดังที่ผมได้ทำลงไปนี้ ในมุมมองของคนสมัยใหม่-บางมุม อาจคิดไปอีกทางหนึ่ง 

ทางที่คนส่วนมากน่าจะคิดก็คือ นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของผม นั่นมันเป็นงานที่ผู้มีหน้าที่ดูแลทางเท้าดูแลถนน-เช่นเทศบาล-จะต้องทำ มันเป็นหน้าที่ของเขา ไม่ใช่หน้าที่ของผม ผมกำลังทำสิ่งที่นอกหน้าที่ ซึ่งก็คือทำผิดหน้าที่ 

การทำนอกหน้าที่หรือทำผิดหน้าที่ไม่ใช่เรื่องดี เพราะเป็นการทำให้เสียระบบ ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะภูมิใจ หรือเอามาชื่นชมยินดี แต่ควรจะตำหนิด้วยซ้ำ 

ผมเชื่อว่าคนส่วนหนึ่ง-ซึ่งอาจจะเป็นส่วนมากด้วย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่-จะเห็นด้วยกับเหตุผลแบบนี้

และสมมุติว่า ในการที่ผมไปทำกิจเช่นนี้ ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้น เช่นไม้ทิ่มตาผม หรือผมลื่นล้ม หรือเป็นอะไรสักอย่าง แน่นอนที่สุด จะมีคนสมน้ำหน้า 

พูดภาษานักเลงปากท่อก็ว่า-รุมกระทืบซ้ำ 

นั่นไงล่ะ กูว่าแล้ว 

เสือกไม่เข้าเรื่อง 

แก่แล้วยังไม่เจียมบอดี้

เสียดายนะ อุตส่าห์แสดงตัวว่าเรียนธรรมะรู้ธรรมะ แต่ไม่รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ

ฯลฯ 

แน่นอน ถ้อยคำเหล่านี้ล้วนแต่บั่นทอนกำลังใจ และปิดกั้นไม่ให้ใครคิดจะทำความดี 

เวลานี้เรามองกันแบบนี้หมดแล้ว – ไม่ใช่หน้าที่ 

“ไม่ใช่หน้าที่” เป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ สะกดผู้คนไม่ให้คิดจะทำความดี 

ข้อแย้งที่มีน้ำหนักมากที่สุดก็คือ สิ่งที่จะทำนั้น – “ไม่ใช่ความดี”

ผมไม่มีความประสงค์ที่จะรับโต้เถียงกับท่านผู้ใด ใครจะเห็นอย่างไรก็เชิญตามสบายเถิด 

แต่ผมยืนยันได้ว่า ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ผมก็จะทำอีก ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยความระมัดระวัง 

นิยามคำว่า “ความดี” ของเราอาจจะต่างกัน และผมอาจจะอยู่ผิดยุคผิดสมัย 

แต่ผมเชื่อด้วยสติปัญญาว่า เนื้อแท้ธาตุแท้ของความดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิยามตามยุคสมัย แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครมีสติปัญญาหรือมีสำนึกมากน้อยกว่ากัน 

—————-

รำพึงรำพันเกี่ยวกับวันเกิด-ที่ตั้งใจเขียน ๓ ตอน ก็จบลงเพียงนี้ 

ขอถือโอกาสนี้กราบขอบพระคุณ และขอบคุณเป็นส่วนรวมมายังญาติมิตรทั้งปวงที่มีเมตตาและมีน้ำใจแสดงความปรารถนาดีต่อผมเนื่องในวันเกิดตามนิยมของชาวโลก 

…….

สาธุ สาธานุโมทามิ 

ทินฺนมคฺคํ วรญฺหิ เม

ยํ ยํ ทินฺนํ สุทินฺนํ โว

ตํ ตํ ปจฺจาคตมฺหิ โว.

…….

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๒

๐๙:๑๙

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *