บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๑)

สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๔)

สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๔)

——————————

ภิกษุเรียกภิกษุณีว่า “ภคินิ” มีนัยอย่างไร

…………………………………..

คำถามข้อที่ ๓ ถามว่า ภิกษุเรียกภิกษุณี ใช้อาลปนะว่า “ภคินิ” แปลว่า “ดูก่อนน้องหญิง” มีนัยอย่างไร

…………………………………..

ทำความเข้าใจกันก่อนว่า คำว่า “อาลปนะ” (อ่านว่า อา-ละ-ปะ-นะ) ในที่นี้เป็นคำที่ใช้ในหลักภาษา หมายถึงถ้อยคำที่ใช้เมื่อร้องทักทายกัน

เช่นนักการเมืองเรียกคนที่มาฟังคำปราศรัยหาเสียงว่า “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย”

คำว่า “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย” นี่คือ “อาลปนะ”

คนไทยใช้คำเรียกกันว่า คุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย 

ลุง-ป้า-ตา-ยาย นี่คือ “อาลปนะ”

เพื่อนสนิทเจอกัน ร้องทักกันว่า “เฮ่ย ไอ้…(สัตว์เลื้อยคลานสี่เท้า)”

“เฮ่ย ไอ้…(สัตว์เลื้อยคลานสี่เท้า)” นี่คือ “อาลปนะ”

………………

ประเด็นปัญหาก็คือ ในคัมภีร์ ปรากฏว่าภิกษุใช้คำอาลปนะเรียกภิกษุณีว่า “ภคินิ” ซึ่งนักเรียนบาลีในเมืองไทยแปลกันว่า “ดูก่อนน้องหญิง” 

ภิกษุณีอายุแก่กว่าภิกษุ ภิกษุก็ยังใช้คำเรียกว่า “ภคินิดูก่อนน้องหญิง” 

ก็เลยเกิดข้อสงสัยว่า การใช้คำเรียกขานเช่นนี้มีนัย หรือมีเงื่อนแง่อะไรแฝงอยู่กระนั้นหรือ?

ในการสนทนาครั้งนั้น ตั้งสมมุติฐานไว้ว่า คำว่า “ภคินิ” แปลว่า “ดูก่อนน้องหญิง” เท่านั้น ไม่ได้แปลเป็นอย่างอื่น

เมื่อตั้งกรอบไว้อย่างนี้ ข้อสันนิษฐานที่นำมาสนทนากันก็จึงถูกโยงไปที่ครุธรรมของภิกษุณี

“ครุธรรม” แปลว่า “ธรรมอันหนัก” หมายถึง เงื่อนไขหรือหลักความประพฤติสำหรับนางภิกษุณีจะพึงถือเป็นเรื่องสำคัญอันต้องปฏิบัติด้วยความเคารพไม่ละเมิดตลอดชีวิต มี ๘ ประการ คือ 

……………………………

๑. ภิกษุณีแม้บวชร้อยพรรษาแล้วก็ต้องกราบไหว้ภิกษุแม้บวชวันเดียว 

๒. ภิกษุณีจะอยู่ในวัดที่ไม่มีภิกษุไม่ได้ 

๓. ภิกษุณีต้องไปถามวันอุโบสถและเข้าไปฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน 

๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้วต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่ายโดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน โดยรังเกียจ (รังเกียจ หมายถึง ระแวงสงสัยหรือเห็นพฤติกรรมอะไรที่น่าเคลือบแคลง) 

๕. ภิกษุณีต้องอาบัติหนัก ต้องประพฤติมานัตในสงฆ์สองฝ่าย (คือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) ๑๕ วัน 

๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์สองฝ่าย เพื่อนางสิกขมานา 

๗. ภิกษุณีไม่พึงด่าไม่พึงบริภาษภิกษุไม่ว่าจะโดยปริยายใดๆ 

๘. ไม่ให้ภิกษุณีว่ากล่าวภิกษุ แต่ภิกษุว่ากล่าวภิกษุณีได้

……………………………

ภาพรวมของครุธรรมก็คือ กำหนดให้ภิกษุณีต้องอยู่ใต้ภิกษุเสมอไป เริ่มต้นที่ต้องไหว้ภิกษุ และจบลงที่ต้องฟังภิกษุฝ่ายเดียวเท่านั้น จะสอนภิกษุไม่ได้

เรียกว่า ถ้ายังมีทิฐิมานะอยู่ในใจละก็ เป็นภิกษุณีไม่ได้ 

ครุธรรมจึงนับว่าเป็นเครื่องมือกำราบกิเลสไปตั้งแต่ด่านแรกเลยทีเดียว

การพูดจากันระหว่างภิกษุกับภิกษุณี เป็นสิ่งที่ย่อมต้องมีในชีวิตประจำวัน การกำหนดคำเรียกขานภิกษุณีเพื่อกำราบทิฐิมานะจึงเป็นวิธีการและเป็นโอกาสที่ดีมากๆ แบบว่า ขัดเกลากิเลสไปตั้งแต่คำร้องเรียกกันนั่นเลยทีเดียว

ลองนึกดู ภิกษุณีอายุคราวแม่ แต่ถูกภิกษุคราวลูกเรียกว่า “น้องหญิง” จะรู้สึกอย่างไร

ฟังคำเรียกขานจากภิกษุคราใด ก็เท่ากับได้กำราบกิเลสในใจตัวเองทุกครั้งไปว่า “อย่ามีทิฐิมานะ”

นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมภิกษุจึงใช้คำอาลปนะเรียกภิกษุณีว่า “ภคินิ ดูก่อนน้องหญิง”

ขอย้ำว่า ข้อสันนิษฐานและข้อสรุปดังที่สนทนากันนี้ ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า คำว่า “ภคินิ” แปลว่า “ดูก่อนน้องหญิง” เท่านั้น 

แต่ถ้าศึกษาวัฒนธรรมการใช้คำเรียกขานระหว่างนักบวชกับสตรี หรือระหว่างนักบวชชายกับนักบวชสตรี ก็อาจจะได้ข้อมูลเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่นั่นก็อยู่นอกกรอบขอบเขตของการสนทนากันในคราวนั้น

ถ้านักเรียนบาลีบ้านเราสนใจค้นคว้าเกี่ยวกับวัฒนธรรมการใช้คำเรียกขานของผู้คนในชมพูทวีป ก็จะได้หลักความรู้ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาเพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก 

น่าเสียดายที่นักเรียนบาลีบ้านเราตั้งเป้าหมายไว้ที่การสอบได้เป็นส่วนมาก 

ที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่การศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์มีน้อยอย่างยิ่ง

………………

วันนี้ (๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ เริ่มสอบบาลีสนามหลวงชั้นเปรียญธรรม ๖ และ ๗ สอบ ๒ วัน 

ต่อด้วยวันที่ ๒๓-๒๔-๒๕ กุมภาพันธ์ สอบชั้นเปรียญธรรม ๘ และ ๙

ขอถวายกำลังใจ/ให้กำลังใจแก่ผู้เข้าสอบทุกท่าน 

สอบให้ได้ แล้วเอาความรู้ไปต่อยอด-ใช้ค้นคว้าพระไตรปิฎกกันต่อไปนะขอรับ

อย่าปล่อยให้ลุงแก่ๆ ทำงานอยู่คนเดียว

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔

๑๙:๔๘

…………………………

ย้อนไปอ่าน: ปรารภเหตุ

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *