อย่าดูถูกความคิดผู้ใหญ่ (๑)
อย่าดูถูกความคิดผู้ใหญ่ (๗)
อย่าดูถูกความคิดผู้ใหญ่ (๗)
———————–
………………………….
๘ และถ้ากับแผ่นดิน คิดว่าไม่มีค่ะ
………………………….
ข้อความในประเด็นนี้สืบต่อมาจากประเด็นก่อนๆ ถ้าอ่านเฉพาะตัวหนังสือเท่าที่เห็นอาจไม่เข้าใจ
ความหมายของข้อความนี้ก็คือ แผ่นดินหรือประเทศชาติบ้านเมืองที่เราเกิดมาหรืออยู่อาศัยทุกวันนี้ไม่มีบุญคุณอะไรกับเรา
ประเด็นนี้ต้องขึ้นอยู่กับวิธีคิด หรือจะเรียกว่า “ระดับจิต” ของแต่ละคนก็ได้
เรื่องจริงที่พอจะเป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นถึงวิธีคิดหรือระดับจิตของมนุษย์ก็คือ ข้อปฏิบัติของคนจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยในอดีต
เป็นที่รู้กันว่า คนจีนแทบทั้งหมดที่มาอยู่เมืองไทยในอดีต มาอย่างที่เรียกกันเป็นสำนวนว่า “เสื่อผืนหมอนใบ”
มาถึงก็ทำมาหากินอย่างชนิดปากกัดตีนถีบ หนักเอาเบาสู้ งานสุจริตสารพัดทำได้หมด ที่เรียกเป็นภาษาจีนว่า “จับกัง” ซึ่งแปลตามตัวว่า “งานสิบอย่าง” เรื่องหนักเรื่องเหนื่อยไม่ต้องพูด
งานชนิดหนึ่งที่คนจีนเลือกทำกันมาก คือขายขวด คือเที่ยวซื้อขวดมาขาย อุปกรณ์ก็มีแค่หลัว (ภาชนะสานรูปคล้ายทรงกระบอก ก้นสอบปากผาย มีหูที่ขอบปาก ๒ ข้าง) คู่หนึ่ง กับไม้คานอันหนึ่ง วิธีการก็คือหาบหลัวตระเวนไปตามบ้านคน รับซื้อขวดทุกชนิด เมื่อได้จำนวนมากพอแล้วก็เอาไปขายส่งให้แหล่งรับซื้ออีกทีหนึ่ง
สมัยผมเป็นเด็ก คำว่า “เจ๊กขายขวด” เป็นที่รู้จักกันดี เด็กเล็กๆ จะกลัวมาก กำลังร้องงอแง ผู้ใหญ่ขู่ว่า “เจ๊กขายขวดมา” จะหยุดร้องทันที
จนถึงวันนี้ ผมก็ยังแว่วเสียงคำไทยสำเนียงจีน – “มีขวกมาขาย” ติดหูอยู่
เรื่องที่บอกเล่ากันมาไม่ขาดก็คือ คนจีนที่ทำอาชีพขายขวดตั้งเนื้อตั้งตัวได้จนเป็นเถ้าแก่ ก็จะเก็บรักษาไม้คานที่ใช้หาบหลัวไว้เป็นอย่างดี บางคนถึงกับปิดทองใส่ตู้แล้วกราบไหว้ไม้คานทุกวัน ด้วยคิดถึงบุญคุณของไม้คานที่ช่วยทำให้ตั้งตัวได้
แค่ไม้คานอันเดียว คนที่มีกตัญญูเขายังสำนึกถึงบุญคุณ
นี่แผ่นดินถิ่นเกิดที่ให้กำเนิดชีวิตแท้ๆ เป็นที่อยู่อาศัย มิใช่เฉพาะของตัวเองชีวิตเดียว หากแต่ของบรรพบุรุษทั้งตระกูล
คนที่พูดว่า “และถ้ากับแผ่นดิน คิดว่าไม่มีค่ะ” ซึ่งแปลว่า แผ่นดินถิ่นเกิดไม่มีบุญคุณอะไรกับเรา – ช่างอหังการเสียนี่กระไร
………………………
ในพระไตรปิฎก คัมภีร์เปตวัตถุ มีภาษิตแสดงไว้ว่า –
………………………
ยสฺเสกรตฺตึ หิ ฆเร วเสยฺย
ยตฺถนฺนปานํ ปุริโส ลเภถ
น ตสฺส ปาปํ มนสาปิ เจตเย
กตญฺญุตา สปฺปุริเสหิ วณฺณิตา.
พักอยู่ในเรือนของผู้ใดแม้เพียงราตรีเดียว
หรือได้ข้าวน้ำในเรือนใด
ไม่ควรคิดชั่วต่อผู้นั้นเรือนนั้นแม้ชั่วขณะจิต
สัปบุรุษสรรเสริญความเป็นผู้กตัญญู
และว่า —
ยสฺเสกรตฺตึปิ ฆเร วเสยฺย
อนฺเนน ปาเนน อุปฏฺฐิโต สิยา
น ตสฺส ปาปํ มนสาปิ เจตเย
อทุพฺภปาณี ทหเต มิตฺตทุพฺภึ.
พักอยู่ในเรือนของผู้ใดแม้เพียงราตรีเดียว
ได้รับการปรนนิบัติบำรุงด้วยข้าวน้ำในเรือนใด
ไม่ควรคิดชั่วต่อผู้นั้นเรือนนั้นแม้ชั่วขณะจิต
(ผลกรรมที่ทำกับ) คนไม่ทำร้ายใครย่อมแผดเผาคนคิดร้ายต่อผู้มีไมตรี
………………………
และอย่าว่าถึงได้อยู่ได้กินในบ้านเรือนเลย แม้เพียงไปพักใต้ร่มไม้ ท่านยังสอนว่า –
………………………
ยสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย
นิสีเทยฺย สเยยฺย วา
น ตสฺส สาขํ ภญฺเชยฺย
มิตฺตทุพฺโภ หิ ปาปโก.
ร่มเงาของต้นไม้ใด
บุคคลอาศัยนั่งนอน
ไม่ควรหักก้านรานกิ่งของต้นไม้นั้น
ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวแท้
ยสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย
นิสีเทยฺย สเยยฺย วา
น ตสฺส ปตฺตํ ภินฺเทยฺย
มิตฺตทุพฺโภ หิ ปาปโก.
ร่มเงาของต้นไม้ใด
บุคคลอาศัยนั่งนอน
(อย่าว่าถึงหักก้านรานกิ่งเลย)
แม้แต่ใบของต้นไม้นั้นก็ไม่ควรเด็ด
ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวแท้
ที่มา: เปตวัตถุ (เรื่องอังกุรเปต) พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๑๐๖
………………….
“มิตฺตทุพฺโภ” หรือ “มิตฺตทุพฺภี” นักเรียนบาลีแปลกันว่า “ผู้ประทุษร้ายมิตร” แต่ว่าโดยความหมายอย่างละเอียดลึกซึ้งแล้ว-ไม่ได้หมายความว่าจะต้องถึงกับลงมือทำร้ายทำอันตรายผู้มีไมตรี แม้เพียงการมองไม่เห็นไมตรีคือความดีงามของผู้คนและสิ่งแวดล้อม ก็อยู่ในความหมาย “ผู้ประทุษร้ายมิตร” เช่นกัน
บ้านเรือนที่เพียงแค่นอนพักคืนเดียว ท่านยังสอนให้ระลึกถึงบุญคุณ
แต่นี่แผ่นดินถิ่นเกิดที่อาศัยกินอยู่หลับนอนดำรงชีพมาชั่วชีวิต … บอกว่า-ไม่มีบุญคุณอะไร
ถ้าแนวคิดนี้ถูกต้องเหมาะสม ควรนิยมนำไปยึดถือปฏิบัติ แผ่นดินถิ่นเกิดก็มีความหมายเพียงเป็นที่อาศัยเสพสุขวันต่อวันเท่านั้น
คนต่างจังหวัดที่มาทำงานในกรุง บัดนี้ก็ไม่ต้องกลับบ้าน
บ้านไม่มีบุญคุณอะไร จะต้องกลับไปทำไม
โรงเรียนที่เคยเรียนตอนเป็นเด็ก ก็ไม่มีบุญคุณอะไร
สถาบันการศึกษาที่เคยเป็นที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ในระดับชั้นต่างๆ ของบุคคลทุกสาขาอาชีพ ก็ไม่มีบุญคุณอะไร
ชมรม-สมาคมศิษย์เก่า-ที่ต่อท้ายด้วยนามสถาบันการศึกษาต่างๆ ก็ตั้งขึ้นมาอย่างไร้สาระ เพราะสถาบันการศึกษาไม่ได้มีบุญคุณอะไร
………..
มองไปทางด้านพระศาสนา
วัดวาอาวาสที่เคยเป็นที่อาศัยบวชเรียนตั้งแต่สมัยเป็นสามเณร ก็ไม่มีบุญคุณอะไร ไม่ต้องหวนกลับไปหา ไม่จำเป็นต้องกลับไปเยี่ยมไปกราบพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้มีบุญคุณอะไรอยู่แล้ว
วัดต่างจังหวัดที่เคยอยู่ก่อนจะเข้ามาเรียนบาลี เรียน มจร เรียน มมร ในกรุงเทพฯ ก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึง เพราะไม่มีบุญคุณอะไร
และแม้แต่วัดที่พักอาศัยจำพรรษาอยู่ ณ ปัจจุบันวันนี้เองก็ไม่มีบุญคุณอะไร เพราะเป็นเพียงที่อาศัยเสพสุขไปวันต่อวันเท่านั้นเอง ได้ดีมีสุขแล้วจะถีบหัวจากไปเสียเมื่อไรก็ได้
แผ่นดินถิ่นเกิดที่อาศัยกินอยู่หลับนอนมาชั่วชีวิต … ยังบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า-ไม่มีบุญคุณอะไร
ก็แล้วอีแค่โรงเรียน สถาบันการศึกษา วัดเดิม บ้านเดิม และแม้แต่วัดปัจจุบันบ้านปัจจุบันที่มามี มาอยู่ที่หลังเกิด จะมามีบุญคุณอะไรกันเล่า
ความหมายของคำว่า “บ้านเรา” หรือ “บ้านเกิด” กวาดลงถังขยะไปซะ!
“บ้านเคยอยู่ อู่เคยนอน หมอนเคยหนุน บุญคุณที่เคยมีคนทำให้” ก็กวาดลงถังขยะไปด้วย-พร้อมกับคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของเราแต่ละคน!!
ตอนต่อไป
………………………….
เทียบท่า-จบ
………………………….
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๓
๑๖:๕๒
……………………………….
อย่าดูถูกความคิดผู้ใหญ่ (๖)
……………………………….
อย่าดูถูกความคิดผู้ใหญ่ (๘)-จบ
……………………………….