งานของนักเรียนบาลี
งานของนักเรียนบาลี
———————-
อย่านึกว่าไม่มีอะไรทำ
ผมกำลังเขียนเรื่องบุญกฐิน ตั้งใจ “หา” ความรู้มา “ให้” ญาติมิตรที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุญกฐินตอนออกพรรษาที่จะถึงนี้
อย่างน้อยที่สุดก็คือได้รับการบอกบุญให้ร่วมบริจาค
อย่างมากที่สุดก็คือรับเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน
จะได้มีความรู้ที่ถูกต้อง มองภาพรวมของบุญกฐินออก ประเด็นใดที่เคยเข้าใจกันผิดๆ และทำกันผิดๆ ก็จะได้ละเว้นเสีย ไม่ทำและไม่สนับสนุนให้ใครทำ ประเด็นใดที่อาจมีข้อเยื้องแย้ง ก็จะได้มีข้อมูลที่เพียงพอจะวินิจฉัยตกลงใจเป็นส่วนตัวได้บ้างว่าอะไรควรเป็นอย่างไร
ก็พอดีเขียนถึงเรื่องความจำเป็นของการผลัดเปลี่ยนไตรจีวรประจำปีอันเป็นที่มาของพุทธานุญาตเรื่องกฐิน ก็ต้องเอ่ยถึงภิกษุชาวเมืองปาฐาผู้เป็นต้นเหตุต้นเรื่อง
เรื่องภิกษุชาวเมืองปาฐาผู้เป็นต้นเหตุเรื่องกฐินนี้เราเอ่ยอ้างถึงกันทุกปีเมื่อถึงฤดูกฐิน แต่ผมเชื่อว่าเราส่วนมากมองข้ามความสำคัญไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือการผลัดเปลี่ยนไตรจีวรเป็นหัวใจของกฐิน
กฐินทุกวันนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการผลัดเปลี่ยนไตรจีวรแต่ประการใดทั้งสิ้น แต่ไปให้ความสำคัญกับจำนวนเงินที่ถวายในการทอดกฐิน
เหตุที่เราหลงทางกันไปไกลถึงเพียงนี้ก็เพราะไม่ได้ศึกษาความเป็นมาของกฐินประการหนึ่ง แม้ศึกษา ก็มองข้ามจุดสำคัญของเรื่องไปอีกประการหนึ่ง
ประเด็นนี้คงเอาไปพูดถึงในบทความชุดบุญกฐินที่จะได้นำเสนอต่อไป ส่วนที่จะว่าต่อไปนี้เป็นอีกประเด็นหนึ่งครับ
เรื่องก็คือ เมื่ออ่านต้นเรื่องกฐินในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงภิกษุชาวเมืองปาฐา ก็ไปพบข้อความสั้นๆ ตอนที่เป็นความคิดคำนึงของภิกษุชาวเมืองปาฐาระหว่างที่จำใจจำพรรษาที่เมืองสาเกต
ข้อความสั้นๆ นั้นบอกว่า “อาสนฺเน ว โน ภควา วิหรติ อิโต ฉสุ โยชเนสุ” แปลได้ความว่า สาเกตกับสาวัตถีห่างกัน ๖ โยชน์
ข้อความสั้นๆ นี้ทำให้ผมเกิด “วาบความคิด” – แล้วเมืองอื่นๆ กับเมืองอื่นๆ ในพุทธประวัติหรือประวัติศาสตร์พุทธศาสนาอีกล่ะ เมืองไหนกับเมืองไหนไกลกันกี่โยชน์?
ในบทความชุดบุญกฐิน ผมอ้างถึงความลำบากในการแสวงหาผ้ามาทำจีวรเป็นเหตุให้บางคนที่มีศรัทธาขอบวชไม่มีโอกาสได้บวชเพราะตายเสียก่อนในขณะที่กำลังเที่ยวแสวงหาผ้าอยู่นั่นเอง
คนหนึ่งคือท่านพาหิยทารุจีริยะ นักเรียนบาลีน่าจะคุ้นกับชื่อนี้
อีกคนหนึ่งคือท่านปุกกุสาติ คนนี้นักเรียนบาลีอาจจะไม่คุ้น-ถ้าไม่ค้น
ท่านปุกกุสาติเป็นพระราชาเมืองตักศิลา สละราชสมบัติออกบวชแล้วจาริกมาถึงเมืองราชคฤห์เพื่อจะเฝ้าพระพุทธเจ้า
คัมภีร์บอกว่า ตักสิลาถึงราชคฤห์ ๑๙๒ โยชน์
พระพุทธเจ้าเสด็จจากเมืองสาวัตถีไปรับที่เมืองราชคฤห์ คัมภีร์บอกว่า สาวัตถีถึงราชคฤห์ ๔๕ โยชน์
(ดูปปัญจสูทนี ภาค ๓ อรรถกถาธาตุวิภังคสูตร หน้า ๘๒๖-๘๒๗)
สาเกตกับสาวัตถีห่างกัน ๖ โยชน์
สาวัตถีกับราชคฤห์ห่างกัน ๔๕ โยชน์
ราชคฤห์กับตักสิลาห่างกัน ๑๙๒ โยชน์
นี่คือที่ผมเรียกว่า-ภูมิศาสตร์พุทธประวัติ
ข้อมูลนี้ได้มาจากคัมภีร์ ค้นเรื่องอื่น แต่ไปพบเข้า ก็เลยจดออกมา
แล้วเมืองอื่นๆ กับเมืองอื่นๆ อีกล่ะ?
ข้อมูลต้องมีอยู่ในคัมภีร์-คือพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาอาจริยมติ
ทำอย่างไรจึงจะดึงข้อมูลดังกล่าวนั้นออกมาได้ครบถ้วน
ใครจะเป็นคนทำ
ใครจะสั่งให้ใครทำ
ใครจะมีอัธยาศัยใฝ่ใจทำโดยไม่ต้องมีใครสั่ง
ใครจะทำให้วิชา “ภูมิศาสตร์พุทธประวัติ” สำเร็จเป็นรูปร่างขึ้นมาได้จริงๆ?
– นักศึกษา ป.ตรี ป.โท ป.เอก ทำวิทยานิพนธ์
– บริษัท ห้างร้าน หรือเอกชนที่มีกำลังทรัพย์ ประกาศให้ทุนโดยให้เสนอโครงการและงบประมาณที่ต้องการ
– มจร มมร เปิดภาควิชาภูมิศาสตร์พุทธประวัติ ศึกษาถึงระดับ ป.เอก
– วัดไทยในอินเดีย-เนปาล เพิ่มภารกิจศึกษาภูมิศาสตร์พุทธประวัติเข้าไปในภารกิจพระธรรมทูต
– คณะสงฆ์ไทยตั้งกองวิชาการพระพุทธศาสนา มีพระเถระระดับรองสมเด็จพระราชาคณะเป็นแม่กอง
ฯลฯ
……………….
ผมพูดมาเสมอ ยังไม่เบื่อที่จะพูดอีก และหวังใจว่าญาติมิตรก็อย่าเพิ่งเบื่อที่จะฟัง นั่นคือ –
เมืองไทยเรามีคนเรียนจบบาลีเป็นจำนวนมากพอควร
แต่แทบทั้งหมด หรือพูดแบบไม่เกรงใจว่า-ทั้งหมด-จบแล้วจบเลย เสวยวิมุตติสุขอย่างเดียวว่า-อาตมาเรียนจบแล้ว
ที่จบแล้วมุ่งทำงานบาลีต่อไปให้ถึงพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาอาจริยมติ มีเปอร์เซ็นต์เป็นศูนย์
ที่ควรแก่การอนุโมทนาอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งในเวลานี้ก็คือ มีผู้มีจิตศรัทธาชักชวน เชิญชวน กระตุ้นเตือนกัน ช่วยกันสนับสนุนนักเรียนบาลีให้เรียนบาลีให้จบ มีอยู่เป็นจำนวนมาก
ควรแก่การแช่มชื่นใจอย่างยิ่ง
แต่ผู้มีจิตศรัทธาชักชวน เชิญชวน กระตุ้นเตือนกัน ช่วยกันสนับสนุนผู้ที่เรียนบาลีจบแล้วให้ทำงานบาลี กล่าวคือศึกษาค้นคว้าต่อไปให้ถึงพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาอาจริยมติ มีเปอร์เซ็นต์เป็นศูนย์อีกเหมือนกัน
ควรแก่การวังเวงใจอย่างยิ่ง
……………….
งานบาลีที่ควรทำ อย่างเช่นศึกษาสืบค้นข้อมูลจากคัมภีร์เกี่ยวกับระยะทางจากเมืองหนึ่งถึงเมืองหนึ่ง ที่ผมเรียกไปพลางๆ ว่า “ภูมิศาสตร์พุทธประวัติ” – เป็นต้น มีอยู่มากมาย
งานมีอยู่มากมาย แต่ไม่มีคนทำ
คนที่สามารถทำได้มีอยู่มากมาย แต่ไม่มีใครสั่งให้ทำ
ทำเองด้วยใจรัก เปอร์เซ็นต์เป็นศูนย์
สาเหตุใหญ่มาจากทฤษฎีที่เรายึดถือกันมาว่า เรียนบาลีจบแล้ว ใครจะทำอะไรควรเป็นไปตามอัธยาศัย
ผลจึงเป็นไปตามที่เราเห็นกันอยู่-งานมีอยู่มากมาย รอให้มีคนมาทำ-ตามอัธยาศัย
……………….
งานที่จะทำมีอยู่มากพอ (มากพอที่จะเรียกได้ว่า-ท่วมหัว-นั่นแหละ!)
คนที่สามารถทำงานได้ก็มีอยู่มากพอ
คนที่พร้อมจะลุกขึ้นมาสนับสนุน ผมก็เชื่อว่ามีอยู่มากพอ
ผมยังหวังลึกๆ ว่า สักวันหนึ่ง ผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองจะลุกขึ้นมาสั่งคณะสงฆ์ให้ลุกขึ้นมาทำงานบาลี
สักวันหนึ่ง …
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒ สิงหาคม ๒๕๖๕
๑๔:๓๑
…………………………………………….
งานของนักเรียนบาลี อย่านึกว่าไม่มีอะไรทำ
…………………………….
…………………………….