เอกม (บาลีวันละคำ 3,741)
เอกม
พอรู้ความหมาย ก็ง่ายที่จะอ่านถูก
คำในชุดนี้มี 3 คำ:
เอกส
เอกม
เอกอุ
…………..
คำนี้ถ้าให้อ่านเท่าที่ตาเห็น คงมีคนอ่านว่า เอ-กม
คำนี้มีในพจนานุกรมฯ และพจนานุกรมฯ ให้อ่านว่า เอก-มอ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เอกม [เอก-มอ] : (คำวิเศษณ์) เอกอย่างกลาง. (ตัดมาจาก เอกมัธยม).”
พจนานุกรมฯ บอกไว้ในวงเล็บว่า “ตัดมาจาก เอกมัธยม” หมายความว่า “เอกม” คำเต็มคือ “เอกมัธยม”
“เอกมัธยม” อ่านว่า เอก-มัด-ทะ-ยม ประกอบด้วยคำว่า เอก + มัธยม
(๑) “เอก”
บาลีอ่านว่า เอ-กะ รากศัพท์มาจาก อิ (ธาตุ = ไป, เป็นไป, ตั้งอยู่) + ณฺวุ ปัจจัย, แผลง อิ เป็น เอ, แปลง ณฺวุ เป็น อก
: อิ > เอ + ณฺวุ = เอณฺวุ > เอก แปลตามศัพท์ว่า (1) “ไปตามลำพัง” (คือไม่มีเพื่อนไปด้วย) (2) “ดำรงอยู่ในความเป็นหนึ่งเดียวเพราะไร้ผู้เหมือนกัน”
“เอก” ในบาลีใช้ใน 2 สถานะ คือ :
(1) เป็นสังขยา (คำบอกจำนวน) เช่น “ชายหนึ่งคน” เน้นที่จำนวน 1 คน = มุ่งจะกล่าวว่าชายที่เอ่ยถึงนี้มีเพียง “หนึ่งคน”
(2) เป็นคุณศัพท์ เช่น “ชายคนหนึ่ง” ไม่เน้นที่จำนวน = มุ่งจะกล่าวถึงชายคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
“เอก” หมายถึง หนึ่ง, หนึ่งเดียว, ดีที่สุด
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เอก, เอก- : (คำวิเศษณ์) หนึ่ง (จำนวน); ชั้นที่ ๑ (ใช้เกี่ยวกับลำดับชั้น หรือขั้นของยศ ตำแหน่ง คุณภาพ หรือวิทยฐานะ สูงกว่า โท) เช่น ร้อยเอก ข้าราชการชั้นเอก ปริญญาเอก; เรียกเครื่องหมายวรรณยุกต์รูปดังนี้ ‘่’ ว่า ไม้เอก; ดีเลิศ เช่น กวีเอก, สำคัญ เช่น ตัวเอก; (คำโบราณ) (คำนาม) เรียกลูกหญิงคนที่ ๗ ว่า ลูกเอก, คู่กับลูกชายคนที่ ๗ ว่า ลูกเจ็ด. (คำที่ใช้ในกฎหมาย). (ป., ส.).”
(๒) “มัธยม”
อ่านว่า มัด-ทะ-ยม เป็นรูปคำสันสกฤต บาลีเป็น “มชฺฌิม” อ่านว่า มัด-ชิ-มะ ศัพท์เดิมมาจาก มชฺฌ + อิม (อิ-มะ) ปัจจัย
(ก) “มชฺฌ” รากศัพท์มาจาก มชฺ (ธาตุ = บริสุทธิ์, สะอาด) + ฌ ปัจจัย
: มชฺ + ฌ = มชฺฌ แปลตามศัพท์ว่า “จุดที่หมดจด”
“มชฺฌ” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) (นปุงสกลิงค์) ตรงกลาง, กลาง ๆ, สามัญ, มัธยม, สายกลาง (middle, medium, mediocre, secondary, moderate)
(2) (ปุงลิงค์) สะเอว (the waist)
(ข) มชฺฌ + อิม = มชฺฌิม ใช้เป็นคุณศัพท์ แปลตามศัพท์ว่า “-อันตั้งอยู่ในท่ามกลาง” หรือ “-อันเป็นไปในท่ามกลาง”
ความหมายนี้ใช้ในการเทียบเคียงคำซึ่งเป็นคู่กันกับความหมายว่า มากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้น ในกระบวน 3 คำ เช่น “เล็ก – กลาง – ใหญ่” (small – medium – big) หรือ “แรก – กลาง – หลัง” (first – middle – last)
“มชฺฌิม” เขียนแบบไทยเป็น “มัชฌิม” อ่านว่า มัด-ชิม ถ้ามีคำอื่นมาสมาสข้างท้ายอ่านว่า มัด-ชิ-มะ- พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“มัชฌิม- : (คำวิเศษณ์) ปานกลาง. (ป. มชฺฌิม).”
บาลี “มชฺฌิม” สันสกฤตเป็น “มธฺยม”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
“มธฺยม : (คำวิเศษณ์) กลาง; ปานกลาง; middle; mean; – น. สะเอว; เด็กหญิงอันถึงวัยสาว; นิ้วกลาง; ช่อกลาง; the waist; a girl arrived at puberty; the middle finger; a central blossom.”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“มัธยม, มัธยม- : (คำวิเศษณ์) กลาง, ปานกลาง. (ส.).”
เอก + มัธยม = เอกมัธยม (เอก-มัด-ทะ-ยม) เป็นคำประสมแบบไทย แปลจากหน้าไปหลังว่า “เอกอย่างกลาง”
ขยายความ :
“เอกม” = เอกมัธยม = เอกอย่างกลาง มาจากไหน หมายความว่าอย่างไร?
“เอกมัธยม” หรือ “เอกม” เป็นคำเรียกวุฒิการศึกษาบาลี ซึ่งนิยมเรียกกันว่า “เปรียญ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของคำว่า “เปรียญ” ไว้ดังนี้ –
“เปรียญ : (คำนาม) ผู้สอบความรู้พระปริยัติธรรมสายบาลีได้ตามหลักสูตรตั้งแต่ ๓ ประโยคขึ้นไป.”
พระปริยัติธรรมสายบาลีแบ่งระดับชั้นหรือ “ประโยค” เป็น 9 ประโยค แต่เดิมแบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม คือ –
ประโยค 1 ถึง 3 เรียกว่า “เปรียญตรี”
ประโยค 4 ถึง 6 เรียกว่า “เปรียญโท”
ประโยค 7 ถึง 9 เรียกว่า “เปรียญเอก”
นักเรียนบาลีรุ่นโบราณนิยมใช้คำว่า “เปรียญตรี” “เปรียญโท” หรือ “เปรียญเอก” ต่อท้ายชื่อโดยไม่ระบุจำนวนประโยค เช่น –
พระมหาทองย้อย สอบได้ 3 ประโยค ใช้ว่า “พระมหาทองย้อย เปรียญตรี” (ประโยค 1 ถึง 3 = เปรียญตรี)
ต่อมา พระมหาทองย้อย สอบได้ 5 ประโยค ใช้ว่า “พระมหาทองย้อย เปรียญโท” (ประโยค 4 ถึง 6 = เปรียญโท)
ต่อมาอีก พระมหาทองย้อย สอบได้ 8 ประโยค ใช้ว่า “พระมหาทองย้อย เปรียญเอก” (ประโยค 7 ถึง 9 = เปรียญเอก)
เฉพาะเปรียญเอกยังแยกย่อยออกไปเป็น 3 ระดับ คือ –
– ประโยค 7 เรียก “เอก ส.” พจนานุกรมเขียน “เอกส” (เอก-สอ) มาจากคำว่า “เอกสามัญ” หมายความว่า แม้จะเป็นเปรียญเอก แต่ก็เป็นเปรียญเอกระดับต้น ระดับธรรมดา จึงเรียกว่าเอกสามัญ
– ประโยค 8 เรียก “เอก ม.” พจนานุกรมเขียน “เอกม” (เอก-มอ) มาจากคำว่า “เอกมัชฌิมะ” หรือ “เอกมัธยม” หมายความว่าเป็นเปรียญเอกระดับกลาง สูงขึ้นมาจากสามัญ แต่ยังไม่สูงสุด
– ประโยค 9 เรียก “เอก อุ.” พจนานุกรมเขียน “เอกอุ” (เอก-อุ) มาจากคำว่า “เอกอุดม” หมายความว่าเป็นเปรียญเอกระดับสูงสุด
“เอกมัธยม” เรียกย่อเป็น “เอก ม.” ต่อมาก็เลยเขียนเป็น “เอกม” และเข้าใจกันว่าเป็นคำสำเร็จรูปคำหนึ่ง คือเห็นคำว่า “เอกม” ก็อ่านถูกและเข้าใจความหมายโดยไม่สงสัยว่าทำไมเขียนอย่างนี้ อ่านอย่างนี้
การศึกษาพระปริยัติธรรมสายบาลีแบ่งเปรียญออกเป็น 3 กลุ่มนี้ เข้าใจว่านักเรียนบาลีรุ่นใหม่น่าจะไม่ทราบกันเป็นส่วนมาก
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ารู้ และมีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าศึกษาอีกหลายอย่าง เช่น ทำไมจึงแบ่งระดับชั้นเป็น 9 ประโยค ประโยค 1 และประโยค 2 ปัจจุบันเรียกควบกันว่า “ประโยค 1-2” ทำไมจึงเรียกควบ แต่เดิมเรียกควบเช่นนี้หรือเปล่า และทำไมพระที่สอบประโยค 1-2 ได้ จึงไม่เรียก “พระมหา” จะเรียก “พระมหา” ก็ต่อเมื่อสอบประโยค 3 ได้ เป็นต้น
หน่วยงานคณะสงฆ์ที่ควรรับภารธุระศึกษาค้นคว้ารวบรวมเรื่องเหล่านี้ไว้ให้เป็นองค์ความรู้ที่ครบถ้วน ก็ควรจะเป็นกองบาลีสนามหลวง
ผู้เขียนบาลีวันละคำขอกราบอาราธนาผ่านบาลีวันละคำด้วยความเคารพยิ่ง
ดูเพิ่มเติม:
“เอกส” บาลีวันละคำ (3,740) 8-9-65
“เอกอุ” บาลีวันละคำ (3,290) 15-6-64
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ถ้าความสามารถมากมี
: ดังฤๅจะทำดีแค่ปานกลาง
#บาลีวันละคำ (3,741)
09-9-65
…………………………….
…………………………….