สิริมา (บาลีวันละคำ 3,752)
สิริมา
ถ้าบุญไม่มี สิริก็ไม่มา
“สิริมา” บาลีอ่านว่า สิ-ริ-มา รูปคำเดิมเป็น “สิริมนฺตุ” อ่านว่า สิ-ริ-มัน-ตุ แยกเป็น สิริ + มนฺตุ
(๑) “สิริ”
บาลีอ่านว่า สิ-ริ (บาลีมี “สิรี” อีกรูปหนึ่ง) รากศัพท์มากจาก สิ (ธาตุ = เสพ, คบหา, อาศัย) + ร ปัจจัย + อิ หรือ อี ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: สิ + ร = สิร + อิ (อี) = สิริ (สิรี) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งอันผู้ทำความดีไว้ได้สัมผัส” หรือ “สิ่งที่อาศัยอยู่ในบุคคลผู้ทำความดีไว้”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แยกความหมายของ “สิริ” ไว้ดังนี้ –
1 ความโอ่อ่าอลังการ, ความสวยงาม (splendour, beauty)
2 โชค, ความรุ่งโรจน์, ความมีเดช, ความรุ่งเรือง (luck, glory, majesty, prosperity)
3 เทพธิดาแห่งโชคลาภ (the goddess of luck)
4 (เมื่อ + คพฺภ = สิริคพฺภ) ห้องบรรทม (the royal bed-chamber)
“สิริ” บาลี ใช้ในภาษาไทยเป็น “สิริ” ตามบาลี ตรงกับสันสกฤตว่า “ศฺรี” ที่เราใช้ในภาษาไทยเป็น “ศรี” (อ่านว่า สี)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
(1) สิริ ๒, สิรี : (คำนาม) ศรี, มิ่งขวัญ, มงคล, เช่น สิริราชสมบัติ, มักใช้เข้าคู่กับคำ มงคล เป็น สิริมงคล; สวย, งาม, เช่น ทรงมีพระสิริโฉม. (ป.; ส. ศฺรี).
(2) ศรี ๑ : (คำนาม) มิ่ง, สิริมงคล, ความรุ่งเรือง, ความสว่างสุกใส, ความงาม, ความเจริญ, เช่น ศรีบ้าน ศรีเรือน ศรีเมือง, ใช้นำหน้าคำบางคำเป็นการยกย่อง เช่น พระศรีรัตนตรัย วัดพระศรีรัตนศาสดาราม. (ส. ศฺรี; ป. สิริ, สิรี).
…………..
ในทางธรรม ถามว่า “สิริ” คืออะไร?
มีคำตอบว่า บุญที่ได้ทำไว้นั่นแลคือสิริ
สิริคือบุญนี้เป็นของเฉพาะตัว ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ ยกให้กันก็ไม่ได้ ใครอยากได้ต้องทำเอง
ผู้ปรารถนาจะเข้าใจให้กว้างขวางกว่าที่กล่าวมานี้ พึงศึกษามงคลสูตรข้อที่ว่าด้วย “ปุพเพกตปุญญตา” ท่านแสดงไว้อย่างละเอียดในคัมภีร์มังคลัตถทีปนี ภาค 1 ข้อ 92-105 มีตัวอย่างเล่าประกอบไว้ด้วยหลายเรื่อง
…………..
(๒) “มนฺตุ”
อ่านว่า มัน-ตุ ในไวยากรณ์บาลีเป็น “ปัจจัย” ตัวหนึ่งใน “ตัทธิต” (ตัด-ทิด, เป็นวิธีการประเภทหนึ่งในการสร้างคำคุณศัพท์โดยวิธีใช้ปัจจัยแทนศัพท์) ตัทธิตมีหลายชนิด ในที่นี้เป็นตัทธิตชนิดที่เรียกว่า “ตทัสสัตถิตัทธิต” (ตะ-ทัด-สัด-ถิ-ตัด-ทิด) ตัทธิตชนิดนี้ใช้ปัจจัยแทนคำว่า “อตฺถิ” (อัด-ถิ) ซึ่งแปลว่า “มีอยู่” มีปัจจัยหลายตัว หนึ่งในจำนวนนั้นคือ “มนฺตุ” ปัจจัย
จับหลักสั้นๆ ว่า “มนฺตุ” ปัจจัย ต่อท้ายคำนามคำใด คำนามคำนั้นแปลว่า “มี-” (ต่อด้วยคำแปลของนามคำนั้น)
ในที่นี้ สิริ (ความสวยงาม, โชค, ความรุ่งโรจน์) + มนฺตุ (มีอยู่) = สิริมนฺตุ (สะ-ติ-มัน-ตุ)
“สิริมนฺตุ” จึงแปลว่า “มีสิริ”
“สิริ” คำเดียว แปลทับศัพท์ว่า “สิริ” ไม่ได้แปลว่า “มีสิริ”
“มนฺตุ” แปลว่า “มีอยู่” ยังไม่รู้ว่าอะไรมีอยู่ อยากรู้ว่าอะไรมีอยู่ก็ดูที่คำข้างหน้า “มนฺตุ” ซึ่งนั่นก็คือ “สิริ-” = สิริมนฺตุ
“สิริมนฺตุ” จึงแปลว่า “มีสิริอยู่” > “มีสิริ” ไม่ใช่ “สิริ” เฉยๆ
“สิริ” แปลว่า “สิริ”
“สิริมนฺตุ” แปลว่า “มีสิริ”
“สิริมนฺตุ” ยังเป็นรูปคำเดิม ต้องนำไปแจกด้วยวิภัตตินามก่อนจึงจะใช้ประกอบเป็นข้อความได้
“สิริมนฺตุ” แจกด้วยวิภัตตินามที่หนึ่ง (ปฐมาวิภัตติ) เอกพจน์ ปุงลิงค์
“วิภัตตินามที่หนึ่ง เอกพจน์” คือ “สิ” : สิริมนฺตุ + สิ เปลี่ยนรูปโดยสูตรว่า “เอา -นฺตุ กับ สิ เป็น อา”
: สิริม(นฺตุ + สิ = อา) : สิริม + อา = สิริมา แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีสิริ” (glorious)
ขยายความ :
คำว่า “สิริมา” ตามรูปศัพท์ในภาษาไทยชวนให้เข้าใจว่าเป็นอิตถีลิงค์ แต่คำนี้เป็นปุงลิงค์ ถ้าจะให้เป็นอิตถีลิงค์รูปศัพท์จะเป็น “สิริมนฺตี” (สิ-ริ-มัน-ตี) และ “สิริมตี” (สิ-ริ-มะ-ตี) แปลงเป็นไทยก็เป็น “สิริมดี” (สิ-หฺริ-มะ-ดี) เป็นคำจำพวกเดียวกับชื่อสตรีไทยสมัยหนึ่งที่นิยมลงท้ายว่า “-วดี” ถ้าเป็นคำบาลีก็คือคำที่ลงท้ายด้วย “วนฺตุ” ปัจจัย แจกด้วยวิภัตติอิตถีลิงค์ แปลง “วนฺตุ” เป็น “-วตี” ในภาษาไทยแปลง เป็น “-วตี” เป็น “-วดี”
แต่ “สิริมา” ลง “มนฺตุ” ปัจจัย (ไม่ใช่ “วนฺตุ”) รูปอิตถีลิงค์จึงเป็น “-มตี” (ไม่ใช่ “-วตี”)
ปุงลิงค์: สิริมา
อิตถีลิงค์: สิริมนฺตี, สิริมตี
อย่างไรก็ตาม “สิริมา” ถ้าใช้ในฐานะเป็น “อสาธารณนาม” (proper name) ก็เป็นชื่อสตรีได้ ในคัมภีร์ปรากฏว่ามีสตรีที่ชื่อ “สิริมา” หลายคน แต่ที่นักเรียนบาลีรู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตามากกว่าเพื่อนน่าจะเป็น “สิริมา” ที่เป็นหญิงงามเมือง และเป็นน้องสาวของหมอชีวก
คัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ภาค 5 สิริมาวัตถุ หรือ “เรื่องนางสิริมา” เล่าเรื่องภิกษุรูปหนึ่งได้ฟังกิตติศัพท์ความงามของนางสิริมาก็เกิดหลงรักทั้งที่ยังไม่ได้เห็นตัวจริง
นางสิริมานั้นฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงแล้วได้บรรลุธรรมเป็นโสดาบัน นางทำบุญด้วยการนิมนต์พระสงฆ์มารับบิณฑบาตที่บ้านทุกวัน
คราวหนึ่งภิกษุที่หลงรักนางสิริมาถึงลำดับไปรับบิณฑบาต พอดีเป็นวันที่นางสิริมาป่วย นางปล่อยตัวตามประสาคนป่วย ภิกษุรูปนั้นเห็นนางสิริมาก็ตกตะลึง อุทานว่า ขนาดป่วยยังสวยถึงเพียงนี้ เวลาดีๆ จะสวยถึงเพียงไหน กลับถึงวัดนอนเพ้อถึงนางสิริมาข้าวปลาไม่ยอมฉัน
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามศึกษาได้จากคัมภีร์
นอกจากคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาแล้ว คัมภีรปรมัตถทีปนี (อรรถกถาวิมานวัตถุ เรื่องสิริมาวิมาน หน้า 99-114, พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลชุด 91 เล่ม เล่มที่ 48 หน้า 125-145) ก็เล่าเรื่องไว้อย่างละเอียด เชิญตามไปศึกษาดูเถิด
…………..
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=16
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ถ้าทำชั่วอยู่เป็นอัตรา
: ต่อให้ชื่อสิริมา สิริก็ไม่มี
#บาลีวันละคำ (3,752)
20-9-65
…………………………….
…………………………….