บาลีวันละคำ

ฉันทลักษณ์ [2] (บาลีวันละคำ 3,915)

ฉันทลักษณ์ [2]

หลักการเรียงร้อยถ้อยคำที่งดงาม

อ่านว่า ฉัน-ทะ-ลัก 

ประกอบด้วยคำว่า ฉันท + ลักษณ์ 

(๑) “ฉันท” 

บาลีเป็น “ฉนฺท” อ่านว่า ฉัน-ทะ รากศัพท์มาจาก – 

(1) ฉนฺทฺ (ธาตุ = ปรารถนา) + (อะ) ปัจจัย 

: ฉนฺทฺ + = ฉนฺท (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ความปรารถนา” 

(2) ฉทฺ (ธาตุ = ปิด, บัง, ระวัง) + (อะ) ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมที่ต้นธาตุแล้วแปลงเป็น นฺ (ฉท > ฉํท > ฉนฺท)

: ฉทฺ + = ฉท > ฉํท > ฉนฺท (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “บทประพันธ์ที่ปกปิดโทษคือความไม่ไพเราะ” 

ฉนฺท” ในบาลีใช้ในความหมาย 3 อย่าง คือ –

(1) สิ่งกระตุ้นใจ, แรงดลใจ, ความตื่นเต้น; ความตั้งใจ, การตกลงใจ, ความปรารถนา; ความอยาก, ความประสงค์, ความพอใจ (impulse, excitement; intention, resolution, will; desire for, wish for, delight in)

(2) ความยินยอม, ความยอมให้ที่ประชุมทำกิจนั้นๆ ในเมื่อตนมิได้ร่วมอยู่ด้วย (consent, declaration of consent to an official act by an absentee) ความหมายนี้คือที่เราพูดว่า “มอบฉันทะ

(3) ฉันทลักษณ์, กฎเกณฑ์ว่าด้วยการแต่งฉันท์, ตำราฉันท์; บทร้อยกรอง (metre, metrics, prosody; poetry) ความหมายนี้คือที่ภาษาไทยพูดว่า “กาพย์กลอนโคลงฉันท์” บาลีไม่ได้เรียกแยกชนิดเหมือนไทย คงเรียกรวมทุกอย่างว่า “ฉนฺทฉันท์” แต่มีชื่อเฉพาะสำหรับฉันท์แต่ละชนิด เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “คาถา” 

ในภาษาไทย ใช้เป็น “ฉันท-” (มีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย) “ฉันท์” และ “ฉันทะ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –

(1) ฉันท– ๑, ฉันท์ ๑ : (คำนาม) ชื่อคําประพันธ์ประเภทหนึ่งที่วางคํา ครุ ลหุ เป็นแบบต่าง ๆ. (ป.).

(2) ฉันท– ๒, ฉันท์ ๒, ฉันทะ : (คำนาม) ความพอใจ, ความรักใคร่, ความชอบใจ, ความยินดี; ความร่วมความคิดความเห็นกัน เช่น ลงมติเป็นเอกฉันท์, ความไว้เนื้อเชื่อใจ เช่น มอบฉันทะ. (ป.).

(๒) “ลักษณ์” 

บาลีเป็น “ลกฺขณ” อ่านว่า ลัก-ขะ-นะ รากศัพท์มาจาก ลกฺขฺ (ธาตุ = กำหนด) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ), แปลง เป็น

: ลกฺขฺ + ยุ > อน = ลกฺขน > ลกฺขณ แปลตามศัพท์ว่า (1) “สภาวะอันธรรมดากำหนดไว้อย่างนั้นนั่นเอง” (2) “สิ่งเป็นเครื่องอันเขาใช้กำหนดหมาย” 

ลกฺขณ” หมายถึง สัญลักษณ์, เครื่องหมาย, เครื่องหมายที่เด่นหรือลักษณะที่สำคัญ, คุณภาพ (sign, characteristic, mark, a distinguishing mark or salient feature, property, quality)

ลกฺขณ” ใช้ในภาษาไทยใช้อิงสันสกฤตเป็น “ลักษณ

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

ลักษณ-, ลักษณะ : (คำนาม) สมบัติเฉพาะตัว เช่น น้ำมีลักษณะเป็นของเหลว ลูกบิลเลียดมีลักษณะกลม ลูกเต๋ามีลักษณะเหลี่ยม คนไทยมีลักษณะอ่อนโยน; ประเภท เช่น ใน ๓ ลักษณะ. (ส.; ป. ลกฺขณ).”

ฉันท + ลักษณ์ = ฉันทลักษณ์ แปลตามความว่า “ข้อกำหนดของการแต่งบทร้อยกรอง

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

ฉันทลักษณ์ : (คำนาม) ลักษณะแบบแผนคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง, ชื่อตำราไวยากรณ์ตอนที่ว่าด้วยลักษณะของคำประพันธ์.”

ขยายความ :

ฉันทลักษณ์” เป็น 1 ใน 4 ส่วนของหลักภาษาบาลีและหลักภาษาไทย ซึ่งท่านผูกเป็นคำคล้องจองกันว่า อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณะ

หนังสือ “สมัญญาภิธานและสนธิ” พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งใช้เป็นแบบเรียนวิชาบาลีไวยากรณ์ของคณะสงฆ์ไทย กล่าวไว้ในหัวข้อ “บาลีไวยากรณ์” ตอนหนึ่งว่า –

…………..

           บาลีไวยากรณ์นี้แบ่งเป็น ๔ ภาคก่อน คือ อักขรวิธี ๑ วจีวิภาค ๑ วากยสัมพันธ์ ๑ ฉันทลักษณะ ๑

           [๑] อักขรวิธี ว่าด้วยอักษร จัดเป็น ๒ คือ สมัญญาภิธาน แสดงชื่ออักษรที่เป็นสระและพยัญชนะ พร้อมทั้งฐานกรณ์ ๑ สนธิ ต่ออักษรที่อยู่ในคำอื่นให้เนื่องเป็นอันเดียวกัน ๑

           [๒] วจีวิภาค แบ่งคำพูดออกเป็น ๖ ส่วน คือ นาม ๑ อัพยยศัพท์ ๑ สมาส ๑ ตัทธิต ๑ อาขยาต ๑ *กฤต ๑

           [๓] วากยสัมพันธ์ ว่าด้วยการกและประพันธ์ผูกคำพูดที่แบ่งไว้ในวจีวิภาคให้เข้าเป็นประโยคอันเดียวกัน

           [๔] ฉันทลักษณะ แสดงวิธีแต่งฉันท์ คือคาถาที่เป็นวรรณพฤทธิ์และมาตราพฤทธิ์

…………..

*กฤต ในที่อื่นๆ สะกดเป็น กิตก์ 

…………..

ข้อควรรู้คือ “ฉันทลักษณ์” ในภาษาบาลีกำหนดด้วยคำหนักคำเบาที่เรียกว่า “ครุ-ลหุ” แต่ “ฉันทลักษณ์” ในภาษาไทยกำหนดด้วยเสียงสูง-ต่ำ และคำที่ “สัมผัส” กัน มีเฉพาะบทร้อยกรองประเภท “ฉันท์” ซึ่งเอารูปแบบมาจากบาลีสันสกฤตเท่านั้นที่เพิ่มข้อกำหนดว่าด้วยครุ-ลหุเข้าไปอีกส่วนหนึ่งแบบเดียวกับฉันทลักษณ์ของบาลี 

ทุกวันนี้เด็กไทยไม่ได้ศึกษาภาษาไทยตามตำราภาษาไทยสมัยเก่าอีกแล้ว ผลก็คือเด็กรุ่นใหม่แต่งบทร้อยกรองไม่เป็นไปตามฉันทลักษณ์เพราะไม่ได้เรียนมา

ผลที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือ เกิดมีแนวคิดที่จะแต่งบทร้อยกรองโดยไม่ต้องมีฉันทลักษณ์ มีผู้เรียกแนวคิดชนิดนี้ว่า “ปลดแอกฉันทลักษณ์” และเรียกบทร้อยกรองแบบนี้ว่า “กลอนเปล่า” อันเป็นการเรียกตามคำฝรั่ง (blank verse) 

แนวคิดปลดแอกฉันทลักษณ์ซึ่งก็คือไม่ต้องเคารพกฎกติกาของบทร้อยกรองนี้เป็นที่นิยมชมชอบของคนรุ่นใหม่อยู่พักหนึ่ง ทุกวันนี้ก็ยังมีร่องรอยเหลืออยู่ดังจะสังเกตได้ว่า ในบทร้อยกรองของคนรุ่นใหม่ เสียงสูง-ต่ำ และคำสัมผัสจะไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนใดๆ ทั้งสิ้น 

ซึ่งก็คือมีไม่มี “ฉันทลักษณ์” หลงเหลืออยู่อีกแล้วนั่นเอง

แต่ในหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย ยังมีวิชาที่ต้องใช้ “ฉันทลักษณ์” เรียกว่า “วิชาแต่งฉันท์มคธ” เป็นวิชาบังคับในระดับชั้นเปรียญธรรม 8 ประโยค นักเรียนต้องสอบผ่านวิชานี้จึงจะถือว่าสอบได้ในชั้นนี้

“วิชาแต่งฉันท์มคธ” ข้อสอบจะบรรยายความเป็นเรื่องราวมาให้ นักเรียนต้องแต่งเรื่องราวที่บรรยายนั้นเป็นฉันท์ภาษามคธ 3 ฉันท์ ในจำนวน 6 ฉันท์ คือ:-

(1) ปัฐยาวัตร

(2) อินทรวิเชียร

(3) อุเปนทรวิเชียร

(4) อินทรวงศ์

(5) วังสัฏฐะ

(6) วสันตดิลก

เปรียญธรรม 8 ประโยค เป็นชั้นเปรียญเอก นักเรียนที่ผ่านชั้นนี้ต้องมีความสามารถในการเรียงร้อยถ้อยคำภาษาบาลีออกมาเป็นกาพย์กลอนที่เรียกว่า “ฉันท์” หรือ “คาถา” ได้เป็นอย่างดี และจะมีความรู้ความสามารถเช่นนี้ได้ ก็ต้องเรียนวิชา “ฉันทลักษณ์

แถม :

พระปริยัติธรรมสายบาลีของคณะสงฆ์ไทยแบ่งระดับชั้นหรือ “ประโยค” เป็น 9 ประโยค แต่เดิมแบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม คือ –

ประโยค 1 ถึง 3 เรียกว่า “เปรียญตรี” 

ประโยค 4 ถึง 6 เรียกว่า “เปรียญโท” 

ประโยค 7 ถึง 9 เรียกว่า “เปรียญเอก” 

เฉพาะเปรียญเอกยังแยกย่อยออกไปเป็น 3 ระดับ คือ –

– ประโยค 7 เรียก “เอก ส.” พจนานุกรมฯ เขียน “เอกส” (เอก-สอ) มาจากคำว่า “เอกสามัญ” หมายความว่า แม้จะเป็นเปรียญเอก แต่ก็เป็นเปรียญเอกระดับต้น ระดับธรรมดา จึงเรียกว่าเอกสามัญ

– ประโยค 8 เรียก “เอก ม.” พจนานุกรมฯ เขียน “เอกม” (เอก-มอ) มาจากคำว่า “เอกมัชฌิมะ” หรือ “เอกมัธยม” หมายความว่าเป็นเปรียญเอกระดับกลาง สูงขึ้นมาจากสามัญ แต่ยังไม่สูงสุด

– ประโยค 9 เรียก “เอก อุ.” พจนานุกรมฯ เขียน “เอกอุ” (เอก-อุ) มาจากคำว่า “เอกอุดม” หมายความว่าเป็นเปรียญเอกระดับสูงสุด

การแบ่งเปรียญออกเป็น 3 กลุ่มนี้ เข้าใจว่านักเรียนบาลีรุ่นใหม่ส่วนมากน่าจะไม่รู้จักแล้ว

…………..

ดูก่อนภราดา!

: เคารพกฎเกณฑ์ของฉันทลักษณ์ได้

: เคารพกฎเกณฑ์ของสังคมได้

#บาลีวันละคำ (3,915)

2-3-66

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *