ปราชญ์เปรื่อง (บาลีวันละคำ 1,926)
ปราชญ์เปรื่อง
กำลังจะผิดจนถูกไปอีกคำหนึ่ง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 มีคำว่า “ปราชญ์” บอกไว้ว่า –
“ปราชญ์ : (คำนาม) ผู้มีปัญญารอบรู้. (ส. ปฺราชฺญ).”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ปรับแก้เป็น –
“ปราชญ์ : (คำนาม) ผู้มีปัญญารอบรู้. (ส.).”
โปรดสังเกตความต่างกันตรงที่พจนานุกรมฯ ฉบับ 2542 บอกว่า “(ส. ปฺราชฺญ)” ฉบับ 2554 ตัดคำว่า “ปฺราชฺญ” ออกไป บอกเพียง “(ส.)”
อ่านใจพจนานุกรมฯ ฉบับ 2542 บอกว่า “(ส. ปฺราชฺญ)” คือบอกว่า คำที่เราใช้ว่า “ปราชญ์” สันสกฤตสะกดว่า “ปฺราชฺญ” (มีจุดใต้ ป และ ช) คือบอกรูปสันสกฤตให้ดูด้วย ส่วนพจนานุกรมฯ ฉบับ 2554 บอกเพียง “(ส.)” คือบอกว่า คำที่เราใช้ว่า “ปราชญ์” เป็นคำสันสกฤต-แค่นี้ รูปคำสันสกฤตสะกดอย่างไรไม่จำเป็นต้องรู้ จึงไม่จำเป็นต้องบอกไว้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ไม่ได้เก็บคำว่า “ปราชญ์เปรื่อง” ไว้ แต่มีคำว่า “ปราดเปรื่อง” บอกไว้ว่า –
“ปราดเปรื่อง : (คำวิเศษณ์) มีความคิดแคล่วคล่องว่องไว, เปรื่องปราด ก็ว่า.”
เป็นอันว่าคำนี้ใช้ว่า “ปราดเปรื่อง” ไม่ใช่ “ปราชญ์เปรื่อง” อย่างที่มักมีผู้ชอบเขียน
“ปราดเปรื่อง” คือ “ปราด-” ที่เป็นคำไทย ไม่ใช่ “ปราชญ์-” ที่มาจากสันสกฤต
เปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ดูคำที่เกี่ยวข้อง พบคำดังต่อไปนี้ –
(1) ปราด, ปร๊าด : (ภาษาปาก) (คำกริยา) เดินหรือวิ่งตรงเข้าไปหรือออกมาอย่างรวดเร็ว เช่น ปราดเข้าไป ปร๊าดออกมา. (คำวิเศษณ์) อาการที่เดินหรือวิ่งตรงเข้าไปหรือออกมาอย่างรวดเร็ว เช่น เดินปราด วิ่งปร๊าด.
(2) ปราดเปรียว : (คำวิเศษณ์) ว่องไว, คล่องแคล่ว.
(3) ปรู๊ดปร๊าด : (คำวิเศษณ์) อาการที่เคลื่อนไหวอย่างว่องไว รวดเร็ว เช่น รถแล่นปรู๊ดปร๊าด.
(4) เปรื่อง : (คำกริยา) เชี่ยวชาญ, ปรุโปร่ง, แตกฉาน, เช่น ปัญญาเปรื่อง สมองเปรื่อง. (คำวิเศษณ์) เสียงดังอย่างเสียงถ้วยชามกระทบกันหรือตกแตก.
ย้ำยืนยันว่า “ปราดเปรื่อง” ไม่ใช่ “ปราชญ์เปรื่อง” อย่างที่มักเขียนผิด
ถึงจะเขียนผิดพลาด ก็ควรถือเป็นโอกาสหาความรู้ต่อไปว่า “ปราชญ์” บาลีสันสกฤตว่าอย่างไร
“ปราชญ์” อ่านว่า ปฺราด (ปร ควบกล้ำ) เหมือนคำไทย “ปราด”
ใน สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน มีคำว่า “ปฺราชฺญ” ขอคัดมาทั้งหมดดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“ปฺราชฺญ : (คำคุณศัพท์) ‘ปราชญ์’ หมั่นค้น; ฉลาด; patient in investigation; wise;- (คำนาม) บัณฑิต, นรผู้คงแก่เรียนหรือฉลาด; นรผู้เฉลียวฉลาด; โพธ, พุทธิ, ความรู้; สตรีผู้ฉลาด; วธูของบัณฑิต; a Paṇḍit, a learned or wise man; a skilful man; knowledge, understanding; an intelligent woman; the wife of a Paṇḍit.”
คำว่า “ปฺราชฺญ” เทียบบาลีเป็น “ปญฺญ” (ปัน-ยะ) คำเดียวกับ “ปญฺญา”
“ปญฺญา” รากศัพท์มาจาก ป + ญา ซ้อน ญฺ : ป + ญฺ + ญา = ปญฺญา
– ป (ปะ) มีความหมายว่า ทั่ว, ข้างหน้า, ก่อน, ออก
– ญา แปลว่า “รู้”
“ปัญญา” จึงมีความหมายว่า :
– “รู้ทั่วถ้วนทั่วถึง”
– “รู้ล่วงหน้า” (รู้ว่าเหตุอย่างนี้จะเกิดผลอย่างไร, ต้องการผลอย่างนี้จะต้องทำเหตุอย่างไร)
– “รู้ก่อนที่จะทำ จะพูด จะคิด”
– “รู้แล้วนำชีวิตหลุดออกจากปัญหา พ้นจากทุกข์ได้”
หลักภาษา :
(1) ปญฺญา เป็นคำนาม แปลว่า “ความรู้” เรานิยมทับศัพท์ว่า ปัญญา
(2) ถ้าเป็นคุณศัพท์ หมายถึง “ผู้มีปัญญา” แจกรูปตามคำเพศชาย เอกพจน์ รูปคำจะเป็น “ปญฺโญ” (ปัน-โย)
(3) ปญฺโญ รูปก่อนแจก คือ “ปญฺญ” (ปัน-ยะ) ก็คือ “ปญฺญา” นั่นเอง แต่แปลงรูปจาก “ปญฺญา” (คำนาม) กลายเป็น “ปญฺญ” (คุณศัพท์) ซึ่งตรงกับสันสกฤตว่า “ปฺราชฺญ”
(4) ถ้ารูปเดิมยังเป็น “ปญฺญา” (คำนาม ไม่ใช่คุณศัพท์) สันสกฤตจะเป็น “ปฺราชฺญา” ตรงกับที่ใช้ในภาษาไทยว่า “ปรัชญา”
(5) ปญฺญา <> ปรัชญา : ปญฺญ <> ปราชญ์
คำว่า “ปราชญ์” มีความหมายเดียวกับ “บัณฑิต” ซึ่งแปลว่า “ผู้ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา” ความหมายเดิมในบาลีมิได้หมายถึงผู้มีความรู้วิชาการเท่านั้น แต่มุ่งถึงผู้รู้จักผิดชอบชั่วดี มีวิจารณญาณ เว้นทางผิด ดำเนินทางถูก มั่นคงในคุณธรรม สามารถยึดถือเป็นแบบแผนในการวางตัวและดำเนินชีวิตของคนทั้งหลายได้
……………
พระพุทธจน์ :
โย พาโล มญฺญตี พาลฺยํ
ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส
พาโล จ ปณฺฑิตมานี
ส เว พาโลติ วุจฺจติ.
ผู้ใดเป็นคนเขลา มาสำนึกตัวได้ว่ายังเขลาอยู่
เพราะเหตุนั้นเขาพอจะเป็นปราชญ์ได้บ้าง
แต่ผู้ใดเป็นคนเขลา มาสำคัญตนว่าเป็นปราชญ์
ผู้นั้นนับว่าเป็นคนเขลาแท้
ที่มา: พาลวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๑๕
……………
ดูก่อนภราดา!
: เพียงแค่ยอมรับว่าตัวเองยังไม่ฉลาด
: ก็เป็นปราชญ์ทันที
17-9-60