ทินกร (บาลีวันละคำ 4,018)
ทินกร
ผู้ทำงานกลางวัน
อ่านว่า ทิน-นะ-กอน
แยกศัพท์เป็น ทิน + กร
(๑) “ทิน”
บาลีอ่านว่า ทิ-นะ รากศัพท์มาจาก –
(1) ทา (ธาตุ = ให้) + อิน ปัจจัย, ลบ อา ที่ ทา (ทา > ท)
: ทา > ท + อิน = ทิน แปลตามศัพท์ว่า “ช่วงเวลาที่ให้ความพยายามและความยืนหยัด” ความหมายนี้หมายถึง “กลางวัน” อันเป็นช่วงเวลาที่คนทั้งหลายลุกขึ้นมาทำการงาน
(2) ทิวุ (ธาตุ = รื่นเริง, สนุกสนาน) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลง วุ ที่ ทิวุ เป็น นฺ (ทิวุ > ทิน)
: ทิวุ > ทิน + อ = ทิน แปลตามศัพท์ว่า “ช่วงเวลาเป็นที่รื่นเริง” ความหมายนี้ก็หมายถึง “กลางวัน” อันเป็นช่วงเวลาที่มีแสงสว่าง พ้นจากเวลาที่มืดมิด ทำให้เกิดอาการกระปรี้กระเปร่า
(3) ที (ธาตุ = สิ้นไป) + อิน ปัจจัย, ลบ อี ที่ ที (ที > ท)
: ที > ท + อิน = ทิน แปลตามศัพท์ว่า “ช่วงเวลาเป็นเหตุสิ้นไปแห่งอายุ” ความหมายนี้หมายถึงทั้งกลางวันและกลางคืน คือที่เรียกรวมว่า “วัน” เมื่อวันล่วงไปๆ อายุ คือช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ ก็หมดไป
สรุปว่า “ทิน” หมายถึง วัน, กลางวัน (day)
(๒) “กร”
บาลีอ่านว่า กะ-ระ รากศัพท์มาจาก กรฺ (ธาตุ = ทำ) + อ (อะ) ปัจจัย
: กรฺ + อ = กร แปลตามศัพท์ว่า –
(1) “การทำ” หมายถึง ผลิต, ก่อ, ประกอบ, กระทำ (producing, causing, forming, making, doing)
(2) “ผู้ทำ” หมายถึง ผู้กระทำ (the maker)
(3)“อวัยวะเป็นเครื่องทำงาน” หมายถึง มือ (the hand)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของ “กร” ไว้ว่า –
(1) กร ๑ : (คำนาม) ผู้ทํา, ใช้ประกอบเป็นส่วนหลังของสมาส เช่น กรรมกร เกษตรกร. (ป.).
(2) กร ๒ : (คำนาม) มือ (มักใช้ในบทประพันธ์); แขน เช่น เจ้างามกรอ่อนดังงวงเอราวัณ. (กลบท); (ราชา) มือ, แขน, ปลายแขน, ใช้ว่า พระกร หรือ กร. (ป., ส.).
(3) กร ๓ : (คำนาม) แสง, ใช้ประกอบเป็นส่วนหลังของสมาส เช่น รัชนีกร นิศากร. (ป.).
ในที่นี้ “กร” มีความหมายตามข้อ (1)
ทิน + กร = ทินกร แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้ทำให้มีกลางวัน” (2) “ผู้ทำดอกบัวให้บาน” หมายถึง ดวงอาทิตย์ (the sun)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ทินกร : (คำนาม) พระอาทิตย์. (ป., ส.).”
ขยายความ :
คำบาลีที่หมายถึง ดวงอาทิตย์ มีอีกหลายคำ ตามคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา ท่านว่ามี 19 คำ ดังนี้ –
…………..
อาทิจฺโจ สูริโย สูโร
สตรํสิ ทิวากโร
เวโรจโน ทินกโร
อุณฺหรํสิ ปภงฺกโร.
อํสมาลี ทินปติ
ตปโน รวิ ภานุมา
รํสิมา ภากโร ภานุ
อกฺโก สหสฺสรํสิ จ.
ที่มา: อภิธานัปปทีปิกา คาถาที่ 62-63
…………..
แต่ละคำมีความหมายดังนี้ –
(1) อาทิจฺโจ = ดวงไฟที่รุ่งเรืองยิ่งนัก (ไทยใช้ อาทิตย์)
(2) สูริโย = ดวงไฟที่ยังความกล้าให้เกิด, ดวงไฟที่เบียดเบียน
(3) สูโร = ดวงไฟที่ยังความกล้าให้เกิด …(แปลเหมือน สุริย)
(4) สตรํสิ = มีรัศมีเป็นร้อย
(5) ทิวากโร= ผู้ทำให้มีกลางวัน, ผู้มีรัศมีในเวลากลางวัน
(6) เวโรจโน = ดวงไฟที่สว่างเจิดจ้า (ไทยใช้ ไพโรจน์)
(7) ทินกร = ผู้ทำให้มีกลางวัน, ผู้ทำดอกบัวให้บาน
(8 ) อุณฺหรํสิ = ผู้มีรัศมีร้อนแรง
(9) ปภงฺกโร = ผู้ทำแสงสว่าง
(10) อํสมาลี ดวงไฟที่มีระเบียบแห่งแสง
(11) ทินปติ = เจ้าแห่งกลางวัน
(12) ตปโน = ผู้แผดเผา
(13) รวิ = ดวงไฟเป็นเหตุให้ส่งเสียงร้องเพราะถูกแผดเผา (ไทยใช้ รวี, รพี)
(14) ภานุมา = ดวงไฟที่มีแสงสว่าง, ผู้มีแสงสว่าง (ไทยใช้ ภาณุมาศ)
(15) รํสิมา = ดวงไฟที่มีรัศมี
(16) ภากโร = ผู้ทำแสงสว่าง, ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งแสงสว่าง
(17) ภานุ = ผู้สว่าง
(18) อกฺโก = ดวงไฟที่แม้เทวดาก็ยังบูชา
(19) สหสฺสรํสิ = มีรัศมีเป็นพัน
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ใหญ่ถูกเวลา
: ใหญ่ได้ตลอดเวลา
#บาลีวันละคำ (4,018)
13-6-66
…………………………….
…………………………….