สัตตาหะ (บาลีวันละคำ 4,097)
สัตตาหะ
ภายในเจ็ดวัน
อ่านว่า สัด-ตา-หะ
แยกศัพท์เป็น สัตต + อหะ
(๑) “สัตต”
เขียนแบบบาลีเป็น “สตฺต” อ่านว่า สัด-ตะ เป็นศัพท์ที่เรียกว่า “สังขยา” คือคำบอกจำนวน แปลว่า เจ็ด ( = จำนวนเจ็ด)
(๒) “อหะ”
เขียนแบบบาลีเป็น “อห” อ่านว่า อะ-หะ รากศัพท์มาจาก น (คำนิบาต = ไม่, ไม่ใช่) + หา (ธาตุ = ละ, ทิ้ง) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลง น เป็น อ, ลบสระหน้า คือ อา ที่ หา (หา > ห)
: น + หา = นหา > อหา > อห + อ = อห (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “เวลาที่ไม่ละการย้อนกลับมา” หมายถึง วัน (a day)
“อห” ในบาลีมีอีกรูปหนึ่งเป็น “อโห” (อะ-โห) = กลางวัน มักใช้ควบกับคำว่า “รตฺต” (รัด-ตะ) = กลางคืน เป็น “อโหรตฺต” (อะ-โห-รัด-ตะ) แปลว่า “กลางวันและกลางคืน” หมายถึง ทุกวันทุกคืน คือ ตลอดเวลา (always)
บาลี “อห” แปลเป็นไทยว่า “วัน” คือที่เราเข้าใจกันในความหมายว่า วันเวลาหรือวันคืน ในที่นี้ควรถือโอกาสศึกษากันดูว่าพจนานุกรมให้คำนิยามหรือคำจำกัดความอย่างไร
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
วัน ๑ : (คำนาม)
(1) ระยะเวลา ๒๔ ชั่วโมง ตั้งแต่ยํ่ารุ่งถึงยํ่ารุ่ง หรือตั้งแต่เที่ยงคืนถึงเที่ยงคืน เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษาหยุดราชการ ๑ วัน,
(2) ระยะเวลา ๑๒ ชั่วโมง ตั้งแต่ย่ำรุ่งถึงย่ำค่ำ เรียกว่า กลางวัน, มักเรียกสั้น ๆ ว่า วัน, ระยะเวลา ๑๒ ชั่วโมง ตั้งแต่ย่ำค่ำถึงย่ำรุ่ง เรียกว่า กลางคืน, มักเรียกสั้น ๆ ว่า คืน, เช่น เขาไปสัมมนาที่พัทยา ๒ วัน ๑ คืน,
(3) ช่วงเวลากลางวัน เช่น เช้าขึ้นมาก็รีบไปทำงานทุกวัน;
(4) (คำที่ใช้ในกฎหมาย) ในทางคดีความ ในทางราชการ หรือทางธุรกิจการค้าและการอุตสาหกรรม วัน หมายความว่า เวลาทำการตามที่ได้กำหนดขึ้นโดยกฎหมาย คำสั่งศาล หรือระเบียบข้อบังคับ หรือเวลาทำการตามปรกติของกิจการนั้น แล้วแต่กรณี.
สตฺต + อห = สตฺตาห (สัด-ตา-หะ) แปลตามศัพท์ว่า “เจ็ดวัน” หมายถึงรอบ ๗ วัน เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ถึงวันเสาร์ หรือระยะเวลา ๗ วัน
“สตฺตาห” เป็นคำเดียวกับที่ในภาษาไทยใช้ว่า “สัปดาห์” คือ บาลี “สตฺต” สันสกฤตเป็น “สปฺต” เราเขียนอิงสันสกฤตเป็น สัปด
สัปด + อห = สัปดาห ไม่ออกเสียง หะ จึงใส่การันต์ที่ ห เขียนเป็น “สัปดาห์”
ขยายความ :
“สตฺตาห” ใช้ในภาษาไทยเป็น “สัตตาหะ” ในที่นี้หมายถึงคำที่เรียกย่อมาจากคำว่า “สัตตาหกรณียะ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สัตตาหกรณียะ : (คำนาม) กิจที่พึงทำเป็นเหตุให้ภิกษุออกจากวัดไปพักแรมในที่อื่นในระหว่างพรรษาได้ไม่เกิน ๗ วัน เช่นเพื่อไปพยาบาลภิกษุสามเณรหรือบิดามารดาที่ป่วยไข้หรือเพื่อบำรุงศรัทธาของทายก.”
ในระหว่างจำพรรษา 3 เดือนตามวินัยสงฆ์ ภิกษุจะไปค้างแรมที่อื่นนอกจากสถานที่ซึ่งอธิษฐานจำพรรษาไว้แล้วมิได้ แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นก็มีพุทธานุญาตให้ไปค้างแรมคืนที่อื่นได้ แต่ต้องกลับภายใน 7 วัน กรณีเช่นนี้มักเรียกกันสั้นๆ ว่า “สัตตาหะ”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –
…………..
สัตตาหะ : สัปดาห์, เจ็ดวัน; มักใช้เป็นคำเรียกย่อ หมายถึง สัตตาหกรณียะ
…………..
ที่คำว่า “สัตตาหกรณียะ” พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –
…………..
สัตตาหกรณียะ : ธุระเป็นเหตุให้ภิกษุออกจากวัดในระหว่างพรรษาได้ ๗ วัน ได้แก่ ๑. ไปเพื่อพยาบาลสหธรรมิกหรือมารดาบิดาผู้เจ็บไข้ ๒. ไปเพื่อระงับสหธรรมิกที่กระสันจะสึก ๓. ไปเพื่อกิจสงฆ์ เช่น ไปหาทัพพสัมภาระมาซ่อมวิหารที่ชำรุดลงในเวลานั้น ๔. ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของทายกซึ่งส่งมานิมนต์เพื่อการบำเพ็ญกุศลของเขา และธุระอื่นจากนี้ที่เป็นกิจลักษณะอนุโลมตามนี้ได้
…………..
สรุปว่า “สัตตาหกรณียะ” คือกิจที่จำเป็นต้องไปทำ และจำกัดด้วยเวลาคือต้องกลับภายใน 7 วัน มักเรียกรู้กันสั้นๆ ว่า “สัตตาหะ”
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ทำอะไรจึงจะคุ้มกับที่เกิดมา –
: ถ้าเหลือเวลาอีกเจ็ดวัน?
#บาลีวันละคำ (4,097)
31-8-66
…………………………….
…………………………….