อมตวาจา (บาลีวันละคำ 4,414)
อมตวาจา
มีความหมายว่าอย่างไร
อ่านว่า อะ-มะ-ตะ-วา-จา
ประกอบด้วยคำว่าว่า อมต + วาจา
(๑) “อมต”
อ่านว่า อะ-มะ-ตะ รากศัพท์มาจาก น + มต
(ก) “น” (นะ) เป็นศัพท์จำพวกนิบาต แปลว่า ไม่, ไม่ใช่ (no, not)
แปลง น เป็น อ ตามกฎการประสมของ น + กล่าวคือ :
(1) ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แปลง น เป็น อ
(2) ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยสระ (อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ) แปลง น เป็น อน
ในที่นี้ “มต” ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ จึงต้องแปลง น เป็น อ
(ข) “มต” อ่านว่า มะ-ตะ รากศัพท์มาจาก มรฺ (ธาตุ = ตาย) + ต ปัจจัย, ลบ รฺ ที่สุดธาตุ (มรฺ > ม)
: มรฺ + ต = มรต > มต แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ตายแล้ว”
น + มต = นมต > อมต (คุณศัพท์, นปุงสกลิงค์) แปลว่า ผู้ไม่ตาย, สิ่งที่ทำให้ไม่ตาย
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อมต” ดังนี้ –
(1) The drink of the gods, ambrosia, water of immortality (น้ำดื่มของเทพยดา, กระยาทิพย์, น้ำอมฤต)
(2) A general conception of a state of durability & non-change, a state of security i. e. where there is not any more rebirth or re-death (มโนภาพทั่ว ๆ ไปของความยั่งยืนและความไม่เปลี่ยนแปลง, สถานะความมั่นคง คือที่ซึ่งไม่มีการกลับมาเกิดหรือกลับมาตายอีก)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของ “อมต” ไว้ดังนี้ –
“อมต-, อมตะ : (คำวิเศษณ์) ไม่ตาย เช่น อมตธรรม, เป็นที่นิยมยั่งยืน เช่น เพลงอมตะ. (คำนาม) พระนิพพาน. (ป.; ส. อมฺฤต).”
บาลี “อมต” สันสกฤตเป็น “อมฤต”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –
“อมฤต : (คำนาม) อาหารของเทพดา; น้ำ; เนย; ข้าว; เหล้า; ของหวาน; ยาพิษ; ทองคำ; ปรอท; ดีปลี, ฯลฯ; the food of the gods (ambrosia, nectar); water; butter; rice; spirituous liquor; sweetmeat; poison; gold; quicksilver; long pepper &c.”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของ “อมฤต” ไว้ดังนี้ –
“อมฤต, อมฤต– : (คำนาม) นํ้าทิพย์ เรียกว่า นํ้าอมฤต; เครื่องทิพย์. (ส.; ป. อมต).”
ในที่นี้ใช้เป็น “อมต” ตามรูปบาลี
(๒) “วาจา”
รากศัพท์มาจาก วจฺ (ธาตุ = พูด) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ทีฆะ อะ ที่ ว-(จฺ) เป็น อา ตามสูตร “ด้วยอำนาจปัจจัยเนื่องด้วย ณ” (วจฺ > วาจ) + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตฺถีลิงค์
: วจฺ + ณ = วจณ > วจ > วาจ + อา = วาจา แปลตามศัพท์ว่า “คำอันเขาพูด” หมายถึง คำพูด การกล่าว, การพูด, วาจา (word, saying, speech)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“วาจา : (คำนาม) ถ้อยคํา, คํากล่าว, คําพูด, เช่น วาจาสุภาพ วาจาอ่อนหวาน วาจาสัตย์. (ป., ส.).”
อมต + วาจา = อมตวาจา (อะ-มะ-ตะ-วา-จา) แปลว่า “คำอันไม่ตาย”
“อมตวาจา” เป็นรูปคำบาลี เมื่อเขียนเป็นคำไทยก็สะกดตรงกัน คือรูปคำบาลีกับรูปคำไทยใช้ตรงกัน
คำว่า “อมตวาจา” ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
มีปัญหาว่า คำนี้ควรสะกดอย่างไร?
“อมตวาจา”
หรือ “อมตะวาจา” (มีสระ อะ กลางคำด้วย)
ตามหลักภาษาไทย คำสมาสสนธิที่มีเสียง อะ กลางคำ ไม่ต้องมีสระ อะ ภาษาวิชาการว่า ไม่ต้องประวิสรรชนีย์
ตัวอย่างเช่น สาธารณะ + สุข เป็น “สาธารณสุข” ไม่ใช่ “สาธารณะสุข”
คำเทียบในพจนานุกรมฯ คือ “อมตบท” ก็ไม่ได้สะกดเป็น “อมตะบท”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อมตบท : (คำนาม) ทางพระนิพพาน. (ป. อมตปท; ส. อมฺฤตปท).”
เพราะฉะนั้น คำนี้จึงสะกดเป็น “อมตวาจา”
ไม่ใช่ “อมตะวาจา”
อภิปรายขยายความ :
เมื่อกล่าวถึง “อมตวาจา” หรือคำสัตย์ เรานิยมอ้างภาษิต “สจฺจํ เว อมตา วาจา” แปลว่า “คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย” (สังยุตนิกาย สคาถวรรค 15/740/278, ขุทกนิกาย เถรคาถา 26/401/434)
แล้วก็จะได้ยินคำเหน็บแนมว่า คำจริงไม่ตาย แต่คนพูดความจริงมักตาย
ความคิดเช่นนี้นับเป็นการบั่นทอนกำลังใจอย่างหนึ่ง ทำให้คนไม่อยากพูดความจริง ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้คนพูดความเท็จไปในตัว
“คำสัตย์” ในภาษิตนั้นท่านหมายถึง “สัจธรรม” คือหลักธรรมอันแสดงข้อปฏิบัติที่ถูกต้องแท้จริง เมื่อนำมาแสดงแล้วมีผู้ปฏิบัติดำเนินตามก็จะเป็นเหตุให้บรรลุอมตธรรมคือพระนฤพานอันไม่มีภพใหม่ คือไม่ต้องเกิดอีก เมื่อไม่มีเกิด ก็เป็นอันไม่มีแก่เจ็บตาย อันเป็นความหมายของ “อมตะ” ที่แปลว่า “ไม่ตาย”
“สจฺจํ เว อมตา วาจา” มีความหมายเช่นนี้
แต่เพราะไม่ศึกษาสำเหนียก จึงไม่รู้ เมื่อไม่รู้แล้วเอาไปพูดตามที่เข้าใจเอาเอง ความหมายของภาษิตจึงผิดเพี้ยนไป
คนควรพูดคำสัตย์ นี่คือหลักปฏิบัติของคนที่เจริญแล้ว
พระพุทธศาสนาไม่ได้หลับตาสอนให้พูดแต่คำสัตย์ แต่สอนองค์ประกอบของการพูดที่ถูกต้องควบคู่ไว้ด้วยเสมอ กล่าวคือ –
๑ กาเลน ภาสิตา = รู้กาลเทศะที่จะพูด
๒ สจฺจา ภาสิตา = พูดเรื่องจริง
๓ สณฺหา ภาสิตา = พูดอย่างสุภาพ
๔ อตฺถสญฺหิตา ภาสิตา = พูดสร้างสรรค์
๕ เมตฺตจิตฺเตน ภาสิตา = พูดด้วยไมตรีจิต
เวลาจะเหน็บแนมหรือเย้ยหยันว่า คำจริงไม่ตาย แต่คนพูดความจริงมักตาย ขอได้โปรดระลึกถึงหลักการพูดเหล่านี้ด้วย
ยิ่งระลึกไว้เสมอๆ ไม่ว่าจะพูดอะไร ก็ยิ่งดี
และโดยเฉพาะเมื่อจะเหน็บแนมสุภาษิต “สจฺจํ เว อมตา วาจา” ขอได้โปรดศึกษาความหมายจนเข้าใจถูกต้องถ่องแท้เสียก่อน
การยกเอามาพูดโดยไม่คิด จะกลายเป็นการช่วยกันบิดเบือนหลักธรรมไปโดยไม่รู้ตัว
…………..
ดูก่อนภราดา!
: จงปรับความเชื่อให้ตรงกับความจริง
: อย่าเกณฑ์ความจริงให้ตรงกับความเชื่อ
#บาลีวันละคำ (4,414)
13-7-67
…………………………….
…………………………….