ลหุภาโว (บาลีวันละคำ 4,278)
ลหุภาโว
“ความเป็นคนผลุนผลัน” หมายความว่าอย่างไร
อ่านว่า ละ-หุ-พา-โว
ประกอบด้วยคำว่า ลหุ + ภาโว
(๑) “ลหุ”
อ่านว่า ละ-หุ รากศัพท์มาจาก ลงฺฆฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + อุ ปัจจัย, ลบ งฺ แล้วแปลง ฆฺ เป็น หฺ (ลงฺฆฺ > ลฆฺ > ลหฺ)
: ลงฺฆฺ + อุ = ลงฺฆุ > ลฆุ > ลหุ (คุณศัพท์) แปลตามศัพท์ว่า “อาการที่เป็นไปอย่างเบา” หมายถึง เบา, เร็ว (light, quick)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ลหุ : (คำวิเศษณ์) เบา; เร็ว, ฉับไว; ใช้ในตำราฉันทลักษณ์ หมายถึง พยางค์ที่มีเสียงเบา ได้แก่ พยางค์ที่ประกอบด้วยสระเสียงสั้นที่ไม่มีตัวสะกด เช่น จะ มิ ดุ, ใช้เครื่องหมาย (สระ อุ) แทน, คู่กับ ครุ ซึ่งใช้เครื่องหมาย (ไม้หันอากาศ) แทน.”
(๒) “ภาโว”
รูปคำเดิมเป็น “ภาว” อ่านว่า พา-วะ รากศัพท์มาจาก ภู (ธาตุ = มี, เป็น) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แผลง อู เป็น โอ, แปลง โอ เป็น อาว
: ภู + ณ = ภูณ > ภู > โภ > ภาว แปลว่า ความมี, ความเป็น, ภาวะ, ธรรมชาติ (being, becoming, condition, nature)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ภาว-, ภาวะ : (คำนาม) ความมี, ความเป็น, ความปรากฏ, เช่น ภาวะน้ำท่วม ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ. (ป., ส.).”
ลหุ + ภาว = ลหุภาว (ละ-หุ-พา-วะ) แปลว่า “ความเป็นสิ่งที่เบา” “ความเป็นผู้เบา” หรือ “ความเบา”
“ลหุภาว” แจกด้วยวิภัตตินามที่หนึ่ง (ปฐมาวิภัตติ) เอกวจนะ ปุงลิงค์ เปลี่ยนรูปเป็น “ลหุภาโว”
ขยายความ :
คำว่า “ลหุภาโว” ที่นักเรียนบาลีรู้จักกันดีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ภาค 5 เรื่องพระโลฬุทายี (โลฬุทายิตฺเถรวตฺถุ เรื่องที่ 124 ชราวรรค)
พระโลฬุทายีเป็นพระที่มักสวดมนต์ผิดงานอยู่เรื่อย เช่นงานมงคลสวดบทอวมงคล งานอวมงคลสวดบทมงคล พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อชาติก่อนพระโลฬุทายีก็พูดผิด ๆ ถูก ๆ แบบนี้มาแล้ว แล้วตรัสเล่าอดีตชาติ
เรื่องในอดีตชาติ พระโลฬุทายีเป็นพ่อ พระพุทธเจ้าเป็นลูก ลูกชายรับราชการเป็นที่โปรดปรานของพระราชา พ่อทำนา อยู่มาวัวที่ใช้ไถนาซึ่งมีอยู่ 2 ตัวตายไปตัวหนึ่ง พ่อบอกให้ลูกไปทูลขอวัวกับพระเจ้าแผ่นดิน
ลูกมีเหตุผลบางประการ บอกว่าพ่อควรไปทูลขอด้วยตัวเอง แล้วก็ซักซ้อมระเบียบการเข้าเฝ้า ฝึกคำพูดกราบทูลให้พ่อ เนื่องจากพ่อหัวทึบหน่อยต้องใช้เวลาฝึกซ้อมตั้งปีหนึ่งจนพอจะแน่ใจว่าสามารถเข้าเฝ้ากราบทูลขอวัวได้
เหตุผลของลูกที่ไม่ทูลขอวัวให้พ่อปรากฏอยู่ในข้อความที่เป็นความคิดของลูก ดังนี้
………………………
โสมทตฺโต “สจาหํ ราชานํ ยาจิสฺสามิ, ลหุภาโว เม ปญฺญายิสฺสตีติ จินฺเตตฺวา …
โสมทัต (คือลูก) คิดว่า “ถ้าเราจักขอพระราชทานไซร้ ความเป็นคนผลุนผลันจักปรากฏแก่เรา”
………………………
“ลหุภาโว เม ปญฺญายิสฺสติ”
แปลตามสำนวนแปลเดิมว่า “ความเป็นคนผลุนผลันจักปรากฏแก่เรา”
“ความเป็นคนผลุนผลัน” คำบาลีว่า “ลหุภาโว” แปลตามศัพท์ว่า “ความเป็นคนเบา” หมายถึง มีใจเบา, เบาความคิด, ไม่ใช้ความคิดในเรื่องสำคัญ (light-minded)
พิจารณาในเรื่องพ่อ-ลูกที่พระพุทธองค์ตรัสเล่า “ลหุภาโว” ก็คือ ความเห็นแก่แต่จะได้ คือจะเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนลืมนึกถึงความควรไม่ควร
ลูกเกรงว่า สังคมจะมองอย่างนั้น (ลหุภาโว เม ปญฺญายิสฺสติ = ความเป็นคนผลุนผลันจักปรากฏแก่เรา) จึงไม่ยอมทูลขอวัว แต่ให้พ่อไปทูลขอเอง
ผลของการที่พ่อเข้าเฝ้าทูลขอวัวเองเป็นอย่างไร ท่านเล่าไว้ในคัมภีร์ว่า –
วันเข้าเฝ้า ลูกไปอยู่ในที่เฝ้าก่อนตามตำแหน่งหน้าที่ ถึงเวลาพ่อก็เข้าเฝ้าตามระเบียบที่ซักซ้อมไว้
คำกราบทูลตามที่ซักซ้อมไว้เป็นดังนี้ –
………………………
เทฺว เม โคณา มหาราช
เยหิ เขตฺตํ กสาม เส
เตสุ เอโก มโต เทว
ทุติยํ เทหิ ขตฺติย.
ขอเดชะ
โคสำหรับไถนาของข้าพระพุทธเจ้ามี ๒ ตัว
ในโค ๒ ตัวนั้น ตัวหนึ่งล้มเสียแล้ว
ขอสมมุติเทพจงพระราชทานตัวที่ ๒ เถิดพระเจ้าข้า
………………………
แต่ครั้นถึงเวลากราบทูลจริง พ่อกลับกราบทูลไปเสียอีกอย่างหนึ่ง
คำกราบทูลจริงเป็นดังนี้ –
………………………
เทฺว เม โคณา มหาราช
เยหิ เขตฺตํ กสาม เส
เตสุ เอโก มโต เทว
ทุติยํ คณฺห ขตฺติย.
ขอเดชะ
โคสำหรับไถนาของข้าพระพุทธเจ้ามี ๒ ตัว
ในโค ๒ ตัวนั้น ตัวหนึ่งล้มเสียแล้ว
ขอสมมุติเทพจงทรงรับเอาตัวที่ ๒ มาเสียเถิดพระเจ้าข้า
………………………
แทนที่จะทูลขอโค กลับทูลถวายโค
พระราชารู้ว่าตาพ่อพูดผิด ตรัสให้พูดใหม่ ก็ยังพูดผิดเหมือนเดิม จึงทรงเย้าไปทางลูกว่า ที่บ้านมีวัวมากหรือ
ลูกมีปฏิภาณดีกราบทูลว่า ถ้าพระราชทานไปก็จะมีมากพระเจ้าข้า
คำตอบนี้พระราชาทรงโปรดมาก พระราชทานวัว ๑๖ ตัว มากกว่าที่ขอหลายเท่า นอกจากนี้ยังพระราชทานสิ่งของต่าง ๆ อีกมาก
พ่อมาเป็นพระโลฬุทายี ลูกมาเป็นพระพุทธเจ้า
เรื่องนี้น่าขบขันในความเขลาของผู้เป็นพ่อ น่าชมปฏิภาณของผู้เป็นลูก แต่ที่ควรชมเป็นพิเศษก็คือ หลักการครองตนของผู้อยู่ใกล้ชิดนายและเป็นคนโปรดของนาย
เท่าที่ประพฤติกันทั่วไป คนประเภทนี้มักอาศัยอำนาจหรือบารมีของนายแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวกันอย่างเต็มที่
ความประพฤติเช่นนี้ท่านเรียกว่า “ลหุภาโว” = “ความเป็นคนผลุนผลัน” คือความเห็นแก่แต่จะได้จะเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนลืมนึกถึงความควรไม่ควร
…………..
ศึกษาเรื่องพระโลฬุทายีในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=21&p=7
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ยอมอด มักจะได้
: เห็นแก่ได้ มักจะอด
#บาลีวันละคำ (4,278)
28-2-67
…………………………….
…………………………….