บาลีวันละคำ

ปาปการี จ ปาปกํ (บาลีวันละคำ 4,310)

ปาปการี  จ  ปาปกํ

ทำชั่วได้ดีมีที่ไหน

อ่านว่า ปา-ปะ-กา-รี จะ ปา-ปะ-กัง

มีคำบาลี 3 คำ คือ “ปาปการี” “” “ปาปกํ

(๑) “ปาปการี” 

อ่านว่า ปา-ปะ-กา-รี ประกอบด้วย ปาป + การี

(ก) “ปาป” บาลีอ่านว่า ปา-ปะ รากศัพท์มาจาก –

(1) ปา (ธาตุ = รักษา) + (อะ) ปัจจัย, ลง อาคม

: ปา + + = ปาป แปลตามศัพท์ว่า “กรรมเป็นแดนรักษาตนแห่งเหล่าคนดี” คือคนดีจะป้องกันตนโดยออกห่างแดนชนิดนี้

(2) ปา (ธาตุ = รักษา) + ปัจจัย

: ปา + = ปาป แปลตามศัพท์ว่า “กรรมที่รักษาอบายภูมิไว้” คือเพราะมีคนทำกรรมชนิดนี้ อบายภูมิจึงยังคงมีอยู่

(3) (คำอุปสรรค = ทั่ว, ข้างหน้า) + อป (ธาตุ = ให้ถึง) + (อะ) ปัจจัย, ลบสระหน้า (คือ ที่ ป) ทีฆะสระหลัง (คือ ที่ อป เป็น อา-)

: + อป > อาป = ปาป + = ปาป แปลตามศัพท์ว่า “กรรมที่ยังผู้ทำให้ถึงทุคติ

(4) (คำอุปสรรค = ทั่ว, ข้างหน้า) + เป (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป) + ปัจจัย, ลบ , ทีฆะ อะ ที่ เป็น อา ( > ปา), ลบ เอ ที่ เป (เป >

: > ปา + เป > = ปาป + = ปาปณ > ปาป แปลตามศัพท์ว่า “กรรมเป็นเหตุไปสู่อบาย

ปาป” หมายถึง ความชั่ว, ความเลวร้าย, การทำผิด, (evil, sin, wrong doing); เลวร้าย, เป็นอกุศล, ชั่ว, เลวทราม, บาป (evil, bad, wicked, sinful)

ในภาษาไทยใช้ว่า “บาป” (ปา– เป็น บา-) อ่านว่า บาบ ถ้ามีคำอื่นมาสมาส อ่านว่า บาบ-ปะ- 

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

บาป, บาป– : (คำนาม) การกระทําผิดหลักคําสอนหรือข้อห้ามในศาสนา; ความชั่ว, ความมัวหมอง. (คำวิเศษณ์) ชั่ว, มัวหมอง, เช่น บาปมิตร = มิตรชั่ว. (ป., ส. ปาป).”

(ข) “การี” รากศัพท์มาจาก กรฺ (ธาตุ = ทำ) ) ณี ปัจจัย, ลบ (ณี > อี), ทีฆะ อะ ที่ -(รฺ) เป็น อา ตามสูตร “ทีฆะต้นธาตุด้วยอำนาจปัจจัยเนื่องด้วย ณ” (กรฺ > การ)

: กรฺ + ณี = กรณี > (ณี > อี) : กร + อี = กรี > การี แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ทำ (สิ่งใดสิ่งหนึ่ง) เป็นปกติ” (doing)

ปาป + การี = ปาปการี แปลว่า “ผู้ทำกรรมชั่วเป็นปกติ” (evil-doer, villain) 

(๒) “” 

บาลีอ่านว่า จะ (ไม่ใช่ จอ) นักเรียนบาลีในเมืองไทยนิยมเรียกเต็ม ๆ ว่า “-ศัพท์” (อ่านว่า จะ-สับ)

-ศัพท์” เป็นศัพท์จำพวก “นิบาต” หลักของศัพท์จำพวกนิบาตคือไม่แจกด้วยวิภัตติเหมือนคำนาม อยู่ที่ไหนก็คงรูปเดิม เช่น “” ก็คงเป็น “” ไม่เปลี่ยนรูปเป็น โจ เจ จํ จา … เหมือนคำนาม 

ตำราบาลีไวยากรณ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสเรียกนิบาตหมวดนี้ว่า “นิบาตสำหรับผูกศัพท์และประโยคมีอัตถะเป็นอเนก” (นอกจาก “” แล้วยังมีคำอื่นอีก) 

นักเรียนบาลีท่องจำกันว่า “ (จะ) = ด้วย, อนึ่ง, ก็, จริงอยู่” 

คำแปลของ “-ศัพท์” ที่ควรทราบพอเป็นพื้นเบื้องต้น คือ – 

(1) ใช้ควบคำนาม: 

– แปลโดยพยัญชนะว่า “ด้วย” เช่น “มาตา ปิตา ” แปลว่า “อันว่าแม่ด้วย อันว่าพ่อด้วย” 

– แปลโดยอรรถว่า “และ” – “มาตา ปิตา ” แปลว่า “แม่และพ่อ

(2) ใช้ควบประโยค:

เช่น “สพฺเพ สตฺตา ชายนฺติ มรนฺติ ” แปลว่า “สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงย่อมเกิดด้วย, (สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง) ย่อมตายด้วย” 

(3) ใช้เป็นคำเปิดประโยค:

แปลว่า “อนึ่ง” “ก็” “จริงอยู่” (จะใช้คำไหนแล้วแต่บริบท) เช่น “วโส โลเก อิสฺสริยํ โหติ” แปลว่า “จริงอยู่ อำนาจย่อมเป็นใหญ่ในโลก

หลักไวยากรณ์: กรณีที่ใช้เป็นคำเปิดประโยคนี้ ต้องมีคำอื่นนำหน้ามาก่อนเสมอ “” จะไม่อยู่เป็นคำแรกในประโยค

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “-ศัพท์” ดังนี้ (ในที่เช่นไร ควรแปลอย่างไร ขึ้นอยู่กับบริบท) – 

(1) ever, whoever, what-ever, etc. (ก็ตาม, ใครก็ตาม, อะไรก็ตาม, ฯลฯ) 

(2) and, then, now (และ, แล้ว, ทีนี้) 

(3) but [esp. after a negation] (แต่ [โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคำปฏิเสธ])

(4) if (ถ้าว่า)

(๓) “ปาปกํ

อ่านว่า ปา-ปะ-กัง รากศัพท์มาจาก ปาป + สกรรถ

(ก) “ปาป” ดูข้างต้น

(ข) “ สกรรถ” อ่านว่า กะ-สะ-กัด “สกรรถ” หมายถึง อักษรหรือคำที่ลงข้างท้ายศัพท์ เมื่อลงแล้วศัพท์นั้นมีความหมายเท่าเดิม ในที่นี้ลง “” ข้างท้าย จึงเรียกว่า “ สกรรถ” 

: ปาป + = ปาปก (ปา-ปะ-กะ) คงมีความหมายเท่ากับ “ปาป” 

ปาปก” แจกด้วยวิภัตตินามที่สอง (ทุติยาวิภัตติ) เอกวจนะ เปลี่ยนรูปเป็น “ปาปกํ

ขยายความ :

ปาปการี  จ  ปาปกํ” เป็นคาถา 1 วรรค (หรือ 1 บาท) ข้อความเต็ม ๆ เป็นดังนี้ –

…………..

เขียนแบบบาลี :

ยาทิสํ  วปเต  พีชํ

ตาทิสํ  ลภเต  ผลํ

กลฺยาณการี  กลฺยาณํ

ปาปการี  จ  ปาปกํ.

เขียนแบบคำอ่าน :

ยาทิสัง  วะปะเต  พีชัง

ตาทิสัง  ละภะเต  ผะลัง

กัล๎ยาณะการี  กัล๎ยาณัง

ปาปะการี  จะ  ปาปะกัง.

คำแปล :

ปลูกพืชเช่นใด

ได้ผลเช่นนั้น

ผู้ทำกรรมดีย่อมได้ดี

ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว

ที่มา: สมุททกสูตร สังยุตนิกาย สคาถวรรค 

พระไตรปิฎกเล่ม 15 ข้อ 903

…………..

อภิปรายขยายความ :

พุทธภาษิตข้อนี้ต้องเข้าใจให้ถูกเรื่องกับที่ท่านอุปมาไว้ นั่นคือ หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น

ความดีที่ทำลงไป ย่อมให้ผลเป็นความดี

ความชั่วที่ทำลงไป ย่อมให้ผลเป็นความชั่ว

อุปมาเหมือนพันธุ์ขนุนที่ปลูกลงไป 

ย่อมออกผลมาเป็นขนุน 

พันธุ์ขนุนจะออกผลเป็นมะม่วงไปไม่ได้ 

ฉันใดก็ฉันนั้น

แต่เป็นไปได้ที่ทำความดีไว้ แต่ความดีนั้นยังไม่ทันให้ผล ความชั่วที่เคยทำไว้มาให้ผลก่อน ทำให้ผู้นั้นเข้าใจผิดไปว่า ทำดีไม่ได้ดี เป็นเหตุให้ผู้ที่ศึกษาไม่ละเอียดรอบคอบแต่งคำพูดโต้แย้งที่ผิดความจริงว่า –

ทำดีได้ดีมีที่ไหน

ทำชั่วได้ดีมีถมไป

ต้องเข้าใจด้วยว่า ท่านบอกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ท่านไม่ได้บอกว่า ทำดีจะถูกหวย ทำดีจะหายป่วย ทำชั่วจะถูกฟ้าผ่า ทำชั่วจะตายโหง

การถูกหวย หายป่วย ไม่ใช่ว่าเกิดจากการทำดีเท่านั้น ทำอย่างอื่นก็อาจถูกหวยหรือหายป่วยได้

ถูกฟ้าผ่า ตายโหง ไม่ใช่ว่าเกิดจากการทำชั่วเท่านั้น ทำอย่างอื่นก็อาจถูกฟ้าผ่าหรือตายโหง

แต่ถ้ามุ่งถึงผลที่ปรารถนาอันเกิดจากการกระทำ เช่น ทำแล้วจะได้อะไร จะได้เท่าไร จะได้เมื่อไร หรือแม้แต่-จะได้หรือไม่ได้ ท่านว่าต้องพิจารณาที่เงื่อนไข หรือองค์ประกอบ หรือตัวแปร 4 อย่าง คือ –

(1) คติ ทำที่ไหน

(2) อุปธิ ใครทำ-ทำกับใคร

(3) กาละ ทำเมื่อไร

(4) ปโยคะ ทำอย่างไร

ถ้าทำถูกกับเงื่อนไขเหล่านี้ ผลที่หวังก็เกิดได้

ถ้าทำไม่ถูกกับเงื่อนไขเหล่านี้ ผลที่หวังก็เกิดไม่ได้

…………..

ดูก่อนภราดา!

: โกงเขากินก็เป็นคนรวยได้

: แต่เป็นคนดีไม่ได้

#บาลีวันละคำ (4,310)

31-3-67 

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *