ภิกขุลิงคะ (บาลีวันละคำ 4,329)
ภิกขุลิงคะ
แต่งตัวเป็นพระ
อ่านว่า พิก-ขุ-ลิง-คะ
ประกอบด้วยคำว่า ภิกขุ + ลิงคะ
(๑) “ภิกขุ”
เขียนแบบบาลีเป็น “ภิกฺขุ” (มีจุดใต้ กฺ) อ่านว่า พิก-ขุ มีรากศัพท์มาได้หลายทาง ดังนี้ –
(1) “ผู้ขอ” : ภิกฺขตีติ ภิกฺขุ = ภิกฺขฺ (ธาตุ = ขอ) + รู ปัจจัย, ลบ ร, รัสสะ อู เป็น อุ
(2) “ผู้นุ่งห่มผ้าที่ถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย” : ภินฺนปฏธโรติ ภิกฺขุ = ภินฺนปฏ = ผ้าที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ, ธโร = ผู้ทรงไว้ = ภิทฺ (ธาตุ = ทำลาย) + รู ปัจจัย, รัสสะ อู เป็น อุ
(3) “ผู้เห็นภัยในการเวียนตายเวียนเกิด” : สํสาเร ภยํ อิกฺขตีติ ภิกฺขุ = ภย (ภัย) + อิกฺขฺ (ธาตุ = เห็น) + รู ปัจจัย, ลบ ย, ลบ ร, รัสสะ อู เป็น อุ
(4) “ผู้ทำลายบาปอกุศล” : ภินฺทติ ปาปเก อกุสเล ธมฺเมติ ภิกฺขุ = ภิทฺ (ธาตุ = ทำลาย) + รู ปัจจัย, ลบ ร, รัสสะ อู เป็น อุ
(5) “ผู้ได้บริโภคอมตรสคือพระนิพพาน” : ภกฺขติ อมตรสํ ภุญฺชตีติ ภิกฺขุ = ภกฺขฺ (ธาตุ = บริโภค) + รู ปัจจัย, ลบ ร, รัสสะ อู เป็น อุ
, แปลง อะ ที่ ภ-(กฺขฺ) เป็น อิ (ภกฺขฺ > ภิกฺข)
บาลี “ภิกฺขุ” ภาษาไทยใช้เป็น “ภิกษุ” ตามรูปสันสกฤต พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ภิกษุ : (คำนาม) ชายที่บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา. (ส.; ป. ภิกฺขุ).”
ในที่นี้ใช้เป็น “ภิกขุ” ตามรูปบาลี
ขยายความแทรก :
“ภิกฺขุ” หมายถึงบุคคลเช่นไรได้บ้าง ขอนำคำจำกัดความในวินัยปิฎกมาเสนอไว้เป็นอลังการแห่งความรู้ ดังนี้
…………..
ภิกฺขูติ
คำว่า ภิกษุ หมายความว่า –
(1) ภิกฺขโกติ ภิกฺขุ ฯ
ที่ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ
(2) ภิกฺขาจริยํ อชฺฌูปคโตติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่าประพฤติภิกขาจริยวัตร (คือเที่ยวขอเขาเลี้ยงชีพ)
(3) ภินฺนปฏธโรติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกตัดเป็นท่อนแล้ว
(4) สามญฺญาย ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุโดยสมญา (คือมีผู้เรียกขาน)
(5) ปฏิญฺญาย ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุโดยปฏิญญา (คือยืนยันตัวเอง)
(6) เอหิภิกฺขูติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุ
(7) ตีหิ สรณคมเนหิ อุปสมฺปนฺโนติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์
(8 ) ภทฺโรติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้เจริญ
(9) สาโรติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสารธรรม
(10) เสโขติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ
(11) อเสโขติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ
(12) สมคฺเคน สงฺเฆน ญตฺติจตุตฺเถน กมฺเมน อกุปฺเปน ฐานารเหน อุปสมฺปนฺโนติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรมอันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ
ที่มา: วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค 1 พระไตรปิฎกเล่ม 1 ข้อ 26
…………..
(๒) “ลิงค”
เขียนแบบบาลีเป็น “ลิงฺค” (มีจุดใต้ งฺ) อ่านว่า ลิง-คะ รากศัพท์มาจาก –
(1) ลิงฺคฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป) + อ (อะ) ปัจจัย
: ลิงฺคฺ + อ = ลิงฺค แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะเป็นเครื่องถึงการจำแนกว่าเป็นหญิงเป็นชาย”
(2) ลีน (ที่ลับ) + องฺค (อวัยวะ), ลบ น ที่ (ลี)-น, รัสสะ อี เป็น อิ (ลี > ลิ)
: ลีน + องฺค = ลีนงฺค > ลินงฺค > ลิงฺค แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะที่ลับ”
(3) ลีน (ที่ลับ) + คมฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ลบ น ที่ (ลี)-น, รัสสะ อี เป็น อิ (ลี > ลิ), ซ้อน งฺ ระหว่าง ลีน + คมฺ, ลบ มฺ ที่สุดธาตุ
: ลีน > ลิน > ลิ + งฺ = ลิงฺ + คมฺ = ลิงฺคม + ณ = ลิงฺคมฺณ > ลิงฺคม > ลิงฺค แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ยังส่วนที่ลี้ลับให้ถึงความแจ่มแจ้ง”
“ลิงฺค” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) ลักษณะ, เครื่องหมาย, นิมิต, ที่สังเกตรูปลักษณะ (characteristic, sign, attribute, mark, feature)
(2) เครื่องหมายเพศ, องคชาต, อวัยวะเพศ (mark of sex, sexual characteristic, pudendum)
(3) (คำในไวยากรณ์) เพศ, คำลงท้ายที่แสดงลักษณะ, ลิงค์ (mark of sex, characteristic ending, gender)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ลิงค์ : (คำนาม) เครื่องหมายเพศ; ประเภทคําในไวยากรณ์ที่บอกให้รู้ว่าคํานั้นเป็นเพศอะไร เช่น ปุงลิงค์ คือ เพศชาย อิตถีลิงค์ คือ เพศหญิง; ลึงค์ ก็ว่า. (ป., ส.).”
ภิกฺขุ + ลิงฺค = ภิกฺขุลิงฺค (พิก-ขุ-ลิง-คะ) แปลว่า “เพศแห่งภิกษุ” หรือเพศพระ หมายถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่บอกให้รู้ว่าเป็นพระ คือแต่งตัวเป็นพระ
“ภิกฺขุลิงฺค” ใช้ในภาษาไทย ทับศัพท์เป็น “ภิกขุลิงคะ”
คำที่มักพูดร่วมกับ “ภิกขุลิงคะ” คือ “ภิกขุภาวะ” แปลว่า “ความเป็นภิกษุ” หรือความเป็นพระ
มี “ภิกขุภาวะ” หรือความเป็นพระ จึงมี “ภิกขุลิงคะ” คือการแต่งตัวเป็นพระที่ชอบธรรม
ถ้าความเป็นพระหมดไป การแต่งตัวเป็นพระก็ย่อมไม่ชอบธรรม
ขยายความ :
ท่านว่า พระพุทธศาสนาของเรานี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไปก็จะเกิดอันตรธาน คือเสื่อมสูญไปตามลำดับ กล่าวคือ
(1) อธิคมอันตรธาน การสูญหายไปแห่งการบรรลุธรรม
(2) ปฏิปัตติอันตรธาน การสูญหายไปแห่งการปฏิบัติธรรม
(3) ปริยัตติอันตรธาน การสูญหายไปแห่งการเล่าเรียนธรรม
(4) ลิงคอันตรธาน การสูญหายไปแห่งเพศภิกษุ
(5) ธาตุอันตรธาน การสูญหายไปแห่งพระธาตุ
“ลิงคอันตรธาน” คือ การสูญหายไปแห่งเพศภิกษุ ก็คือ “ภิกขุลิงคะ” จะสูญสิ้นไป
คัมภีร์อรรถกถาบรรยาย “ลิงคอันตรธาน” ไว้ดังนี้ –
…………..
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล จีวรคหณํ ปตฺตคหณํ สมฺมิญฺชนปสารณํ อาโลกิตวิโลกิตํ น ปาสาทิกํ โหติ
เมื่อกาลล่วงไป ๆ การครองจีวร การถือบาตร การคู้ การเหยียด การแลดู การเหลียวดู ไม่เป็นที่นำมาซึ่งความเลื่อมใส
นิคณฺฐสมโณ วิย อลาพุปตฺตํ ภิกฺขู ปตฺตํ อคฺคพาหาย ปกฺขิปิตฺวา อาทาย วิจรนฺติ
ภิกษุทั้งหลายไปไหนมาไหนก็ห้อยบาตรไว้ปลายแขนเหมือนนักบวชนิครนถ์ถือหม้อน้ำเต้า
เอตฺตาวตาปิ ลิงฺคํ อนนฺตรหิตเมว โหติ ฯ
แม้ด้วยอาการเพียงเท่านี้ เพศภิกษุก็ชื่อว่ายังไม่อันตรธาน
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล อคฺคพาหโต โอตาเรตฺวา หตฺเถน วา สิกฺกาย วา โอลมฺเพตฺวา วิจรนฺติ
เมื่อกาลล่วงไป ๆ ก็เอาบาตรลงจากปลายแขน ไปไหนมาไหนก็ใช้มือหิ้วไป หรือใช้สาแหรกหาบไป
จีวรํปิ รชนสารุปฺปํ อกตฺวา โอฏฺฐฏฺฐิวณฺณํ กตฺวา วิจรนฺติ ฯ
แม้จีวรก็ไม่ย้อมให้ถูกต้อง ห่มจีวรสีแดงกันทั่วไปหมด
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล รชนํ น โหติ ทสจฺฉินฺทนํปิ โอวฏฺฏิกวิชฺฌนํปิ กปฺปมตฺตํ กตฺวา วฬญฺเชนฺติ ฯ
เมื่อกาลล่วงไป ๆ การย้อมจีวรก็ดี การตัดชายผ้าก็ดี การเจาะรังดุมก็ดี ก็ไม่มีไม่ทำ ทำเพียงเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นจีวรแล้วใช้สอย
ปุน โอวฏฺฏิกํ วิสฺสชฺเชตฺวา กปฺปํ น กโรนฺติ ฯ
ต่อมาก็ทิ้งรังดุมไปเสียอีก เครื่องหมายที่ให้รู้ว่าเป็นจีวรก็ไม่ทำ
ตโต อุภยํ อกตฺวา ทสา เฉตฺวา ปริพฺพาชกา วิย วิจรนฺติ ฯ
ต่อมา เมื่อไม่ทำทั้งสองอย่าง ก็ตัดชายผ้าออก ไปไหนมาไหนมีลักษณาการเหมือนพวกปริพาชก
(ที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ก็คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเครื่องแต่งกายของภิกษุในอนาคตนั่นเอง-เวลานี้ในเมืองไทย พระเถรวาทใส่เสื้อก็มีให้เห็นแล้ว)
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล โก อิมินา อมฺหากํ อตฺโถติ ขุทฺทกํ กาสายขณฺฑํ หตฺเถ วา คีวายํ วา พนฺธนฺติ เกเสสุ วา อลฺลิยาเปนฺติ …
เมื่อกาลล่วงไป ๆ ก็คิดว่า พวกเราจะต้องครองผ้าเช่นนี้ไปทำไม จึงผูกผ้ากาสายะชิ้นเล็ก ๆ เข้าที่มือ หรือที่คอ หรือขอดไว้ที่ผม
ทารภรณํ วา กโรนฺตา กสิตฺวา วปิตฺวา ชีวิตํ กปฺเปนฺตา วิจรนฺติ ฯ
พากันมีภรรยาบ้าง ประกอบการไถหว่าน (และทำกิจอื่น ๆ) เลี้ยงชีพบ้าง
ตทา ทกฺขิณํ เทนฺโต ชโน สํฆํ อุทฺทิสฺส เอเตสํ เทติ ฯ
ในครั้งนั้น คนที่จะถวายทักขิณาทาน ย่อมถวายให้แก่คนครองเพศเช่นนั้นโดยตั้งใจว่าถวายสงฆ์
อิทํ สนฺธาย ภควตา วุตฺตํ …
พระผู้มีพระภาคทรงหมายถึงกรณีเช่นนี้ จึงตรัสไว้ (ในทักขิณาวิภังคสูตร) ว่า —
……………………………………………..
ภวิสฺสนฺติ โข ปนานนฺท อนาคตมทฺธานํ โคตฺรภุโน กาสาวกณฺฐา ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา …
ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จักมีโคตรภูสงฆ์ คือผู้มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นผู้ทุศีล ประพฤติเลวทราม
เตสุ ทุสฺสีเลสุ ปาปธมฺเมสุ สํฆํ อุทฺทิสฺส ทานํ ทสฺสนฺติ …
คนทั้งหลายถวายทานแก่คนทุศีลประพฤติเลวทรามเหล่านั้นโดยตั้งใจว่าถวายสงฆ์
ตทาหํ อานนฺท สํฆคตํ ทกฺขิณํ อสงฺเขยฺยํ อปฺปเมยฺยํ วทามีติ ฯ
ดูก่อนอานนท์ เรากล่าวว่า ทักษิณาที่ถวายเป็นของสงฆ์ในเวลานั้น มีอานิสงส์นับไม่ได้ประมาณไม่ได้ ดังนี้
……………………………………………..
ตโต คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล นานาวิธานิ กมฺมานิ กโรนฺตา ปปญฺโจ นาม เอส กึ อิมินา อมฺหากนฺติ กาสาวขณฺฑํ ฉฑฺเฑตฺวา อรญฺเญ ขิปนฺติ ฯ
แต่นั้น เมื่อกาลล่วงไป ๆ คนครองเพศภิกษุเหล่านั้นคิดว่า การครองเพศอยู่เช่นนี้เสียเวลา พวกเราจะต้องมาเสียเวลาอยู่ทำไมเล่า คิดแล้วจึงถอดชิ้นส่วนผ้ากาสาวะโยนทิ้งเสียในป่า
เอตสฺมึ กาเล ลิงฺคํ อนฺตรหิตํ นาม โหติ ฯ
เพศภิกษุก็เป็นอันว่าอันตรธานไปในกาลนั้น
กสฺสปทสพลสฺส กิร กาเล เตสํ เตสํ เสตกานิ วตฺถานิ ปารุปิตฺวา จรณํ จาริตํ ชาตนฺติ
กล่าวกันว่า คนเหล่านั้นพากันนุ่งขาวห่มขาวดำเนินชีวิตไปโดยถือกันว่าเป็นจารีตนิยมมาแต่ครั้งศาสนาพระกัสสปทศพล
อิทํ ลิงฺคอนฺตรธานํ นาม โหติ ฯ
เป็นอันว่าลิงคอันตรธานย่อมมี ด้วยประการฉะนี้แล
ที่มา: มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตรนิกาย ภาค 1 หน้า 120-121
…………..
ดูก่อนภราดา!
: มีความเป็นพระ แต่งตัวเป็นพระ ดีเต็มตัว
: ไม่มีความเป็นพระ แต่งตัวเป็นพระ เลวเต็มตัว
#บาลีวันละคำ (4,329)
19-4-67
…………………………….
…………………………….