ธาตุเจดีย์ (บาลีวันละคำ 4,470)
ธาตุเจดีย์
คำนี้หมายถึงพระบรมสารีริกธาตุ
อ่านว่า ทา-ตุ-เจ-ดี ก็ได้
อ่านว่า ทาด-เจ-ดี ก็ได้
(ตามพจนานุกรมฯ)
ผู้เขียนบาลีวันละคำเห็นว่า ควรจะอ่านได้อีกอย่างหนึ่งว่า ทาด-ตุ-เจ-ดี
ประกอบด้วย ธาตุ + เจดีย์
(๑) “ธาตุ”
บาลีอ่านว่า ทา-ตุ รากศัพท์มาจาก ธา (ธาตุ = ทรงไว้) + ตุ ปัจจัย อีกนัยหนึ่งว่ามาจาก ธรฺ (ธาตุ = ทรงไว้) + ตุ ปัจจัย, ลบ รฺ ที่สุดธาตุ, ทีฆะ อะ ที่ ธ-(รฺ) เป็น อา (ธรฺ > ธาร)
: ธา + ตุ = ธาตุ
: ธรฺ > ธ + ตุ = ธตุ > ธาตุ
“ธาตุ” (อิตถีลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า –
(๑) “อวัยวะที่ทรงร่างไว้” หมายถึง กระดูก, อัฐิ
(๒) (1) “สิ่งที่คงสภาพของตนไว้” (2) “สิ่งที่ทรงไว้ซึ่งมูลค่า” (3) “สิ่งที่ทรงประโยชน์ของตนไว้บ้าง ของผู้อื่นไว้บ้าง” หมายถึง ธาตุ, แร่ธาตุ
(๓) (1) “อักษรที่ทรงไว้ซึ่งเนื้อความพิเศษ” (2) “อักษรอันเหล่าบัณฑิตทรงจำกันไว้” หมายถึง รากศัพท์
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แสดงความหมายของ “ธาตุ” ไว้ดังนี้
(1) a primary element, of which the usual set comprises the four : earth, water, fire, wind (ปฐมธาตุ, คือธาตุซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 อย่าง คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม)
(2) natural condition, property, disposition; factor, item, principle, form (ภาวะตามธรรมชาติ, คุณสมบัติ, อุปนิสัย, ปัจจัย, หัวข้อ, หลัก, รูป)
(3) elements in sense-consciousness: referring to the 6 ajjhattikāni & 6 bāhirāni āyatanāni (ธาตุเกี่ยวกับความรู้สึก เกี่ยวถึงอายตนะภายใน 6 และภายนอกอีก 6)
(4) a humour or affection of the body (อารมณ์ หรืออาการของกาย)
(5) the remains of the body after cremation (ส่วนที่เหลือของร่างเมื่อเผาศพแล้ว)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของคำว่า “ธาตุ” ในภาษาไทยไว้ว่า –
(1) สิ่งที่ถือว่าเป็นส่วนสําคัญที่คุมกันเป็นร่างของสิ่งทั้งหลาย โดยทั่ว ๆ ไปเชื่อว่ามี ๔ ธาตุ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุไฟ ธาตุลม แต่ก็อาจมีธาตุอื่น ๆ อีก เช่น อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ธาตุไม้ ธาตุทอง ธาตุเหล็ก.
(2) กระดูกของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ โดยทั่ว ๆ ไปเรียกรวม ๆ ว่า พระธาตุ, ถ้าเป็นกระดูกของพระพุทธเจ้า เรียก พระบรมธาตุ หรือ พระบรมสารีริกธาตุ, ถ้าเป็นกระดูกของพระอรหันต์ เรียกว่า พระธาตุ, ถ้าเป็นกระดูกส่วนใดส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า ก็เรียกตามความหมายของคํานั้น ๆ เช่น พระอุรังคธาตุ พระทันตธาตุ, ถ้าเป็นผมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระเกศธาตุ.
(3) ชื่อคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาซึ่งว่าด้วยธาตุ เช่น ธาตุกถา ธาตุปาฐ.
(4) (ภาษาถิ่น-อีสาน) เจดีย์ที่บรรจุกระดูกคนที่เผาแล้ว.
(5) สารเนื้อเดียวล้วนซึ่งประกอบด้วยบรรดาอะตอมที่มีโปรตอนจํานวนเดียวกันในนิวเคลียส.
(6) รากศัพท์ของคําบาลีสันสกฤตเป็นต้น เช่น ธาตุ มาจาก ธา ธาตุ สาวก มาจาก สุ ธาตุ กริยา มาจาก กฺฤ ธาตุ.
ในที่นี้ “ธาตุ” หมายถึง กระดูกของพระพุทธเจ้า ที่เรียก พระบรมธาตุ หรือ พระบรมสารีริกธาตุ หรือที่พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกความหมายว่า the remains of the body after cremation (ส่วนที่เหลือของร่างเมื่อเผาศพแล้ว)
(๒) “เจดีย์”
บาลีเป็น “เจติย” อ่านว่า เจ-ติ-ยะ รากศัพท์มาจาก –
(1) จิตฺ (ธาตุ = บูชา) + ณฺย ปัจจัย, ลง อิ อาคม, ลบ ณฺ, แผลง อิ ที่ จิ-(ต) เป็น เอ (จิ > เจ)
: จิตฺ + อิ + ณฺย = จิติณฺย >จิติย > เจติย แปลตามศัพท์ว่า “ที่อันบุคคลบูชา”
(2) จิ (ธาตุ = ก่อ, สะสม) + ณฺย ปัจจัย, ลง ต อาคม และ อิ อาคม, ลบ ณฺ, แผลง อิ ที่ จิ เป็น เอ (จิ > เจ)
: จิ + ต + อิ + ณฺย = จิติณฺย >จิติย > เจติย แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งอันเขาก่อด้วยอิฐเป็นต้น”
(3) จิตฺต (จิต, ใจ) + อิย ปัจจัย, แปลง จิตฺต เป็น เจต
: จิตฺต + อิย = จิตฺติย > เจติย แปลตามศัพท์ว่า “ที่อันบุคคลทำไว้ในจิต”
(4) จิตฺต (วิจิตร, สวยงาม) + อิย ปัจจัย, แปลง จิตฺต เป็น เจต
: จิตฺต + อิย = จิตฺติย > เจติย แปลตามศัพท์ว่า “ที่อันบุคคลสร้างอย่างวิจิตร”
“เจติย” (นปุงสกลิงค์) หมายถึง เจดีย์, สิ่งที่ควรเคารพบูชา, กองหินซึ่งทำไว้เป็นที่ระลึกหรือเป็นสุสาน (a tumulus, sepulchral monument, cairn)
บาลี “เจติย” ในภาษาไทยใช้ทับศัพท์เป็น “เจดีย์”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เจดีย-, เจดีย์ ๑ : (คำนาม) สิ่งซึ่งก่อเป็นรูปคล้ายลอมฟาง มียอดแหลม บรรจุสิ่งที่นับถือมีพระธาตุเป็นต้น, สิ่งหรือบุคคลที่เคารพนับถือ. (ป. เจติย; ส. ไจตฺย).”
ธาตุ + เจติย = ธาตุเจติย (ทา-ตุ-เจ-ติ-ยะ) แปลเท่าศัพท์ว่า “เจดีย์คือพระธาตุ”
“ธาตุเจติย” ใช้ในภาษาไทยเป็น “ธาตุเจดีย์”
ขยายความ :
เจดีย์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเรียกว่า “พุทธเจดีย์” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
“พุทธเจดีย์ : (คำนาม) เจดีย์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า มี ๔ ชนิด คือ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์ และอุเทสิกเจดีย์.”
พจนานุกรมฯ เก็บคำว่า “ธาตุเจดีย์” ไว้ด้วย บอกไว้ดังนี้ –
“ธาตุเจดีย์ : (คำนาม) เจดีย์บรรจุพระธาตุ.”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “ธาตุเจดีย์” บอกไว้ดังนี้ –
…………..
ธาตุเจดีย์ : เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (ข้อ ๑ ในเจดีย์ ๔)
…………..
คำว่า “ธาตุเจดีย์” มักเข้าใจกันว่า หมายถึง เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หมายความว่า พระบรมสารีริกธาตุนั้นต้องบรรจุอยู่ในเจดีย์ จึงจะเรียกว่า “ธาตุเจดีย์”
เมื่อเทียบกับคำว่า “อุเทสิกเจดีย์” อันเป็นคำในชุดเดียวกัน ที่หมายถึง “พระพุทธรูป” ไม่ได้หมายถึงองค์เจดีย์ใด ๆ ผู้เขียนบาลีวันละคำเห็นว่า เฉพาะองค์พระบรมสารีริกธาตุ แม้ไม่ได้บรรจุอยู่ในเจดีย์ ก็ควรเรียกว่า “ธาตุเจดีย์” ได้ด้วย
แถม :
ท่านว่า พระพุทธศาสนาของเรานี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไปก็จะเกิดอันตรธาน คือเสื่อมสูญไปตามลำดับ กล่าวคือ (1) อธิคมอันตรธาน (2) ปฏิปัตติอันตรธาน (3) ปริยัตติอันตรธาน (4) ลิงคอันตรธาน (5) ธาตุอันตรธาน
“ธาตุอันตรธาน” หรือ “การสูญหายไปแห่งพระธาตุ” ซึ่งหมายถึงพระบรมสารีริกธาตุ คัมภีร์อรรถกถาบรรยายไว้ดังนี้ –
…………..
ธาตุอนฺตรธานํ นาม เอวํ เวทิตพฺพํ
ชื่อว่าธาตุอันตรธานพึงทราบดังจะกล่าวต่อไปนี้:-
ตีณิ ปรินิพฺพานานิ กิเลสปรินิพฺพานํ ขนฺธปรินิพฺพานํ ธาตุปรินิพฺพานนฺติ ฯ
ปรินิพพานคือการดับสนิทมี 3 อย่าง คือ กิเลสปรินิพพาน การดับสนิทแห่งกิเลส, ขันธปรินิพพาน การดับสนิทแห่งขันธ์, ธาตุปรินิพพาน การดับสนิทแห่งพระธาตุ
ตตฺถ กิเลสปรินิพฺพานํ โพธิปลฺลงฺเก อโหสิ
บรรดาปรินิพพาน 3 อย่างนั้น กิเลสปรินิพพานได้มีที่โพธิบัลลังก์ (อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ดับกิเลสได้สิ้นเชิง)
ขนฺธปรินิพฺพานํ นาม กุสินารายํ
ขันธปรินิพพานได้มีที่กรุงกุสินารา (อันเป็นนครที่เสด็จไปดับขันธปรินิพพาน)
ธาตุปรินิพฺพานํ อนาคเต ภวิสฺสติ ฯ
ธาตุปรินิพพานจักมีในอนาคต (คือที่จักบรรยายต่อไปนี้)
กถํ ฯ
จักมีอย่างไร?
ตโต ตตฺถ ตตฺถ สกฺการสมฺมานํ อลภมานา ธาตุโย พุทฺธานํ อธิฏฺฐานพเลน สกฺการสมฺมานลภนกฏฺฐานํ คจฺฉนฺติ ฯ
คือครั้งนั้น พระธาตุทั้งหลายเมื่อไม่ได้รับสักการะและสัมมานะในที่นั้น ๆ ก็จะเสด็จไปสู่ที่ที่มีสักการะและสัมมานะ ทั้งนี้เป็นด้วยกำลังอธิษฐานของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย (ไม่ใช่เฉพาะพระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีตก็ทรงอธิษฐานเช่นนี้-คืออธิษฐานให้พระธาตุเสด็จไปสถิตยังสถานที่ซึ่งมีผู้เคารพนับถือ)
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล สพฺพฏฺฐาเนสุ สกฺการสมฺมาโน น โหติ ฯ
เมื่อกาลล่วงไป ๆ สักการะและสัมมานะก็ไม่มีในที่ทั้งปวง (คือถิ่นที่อันจะมีผู้นับถือพระพุทธศาสนามิได้มีอีกแล้ว)
สาสนสฺส โอสกฺกมนกาเล อิมสฺมึ ตามฺพปณฺณิทีเป ธาตุโย สนฺนิปติตฺวา มหาเจติยํ คมิสฺสนฺติ …
คราเมื่อพระศาสนาเรียวลง พระธาตุทั้งหลายในตามพปัณณิทวีป (คือเกาะลังกา) นี้ จักมารวมกันแล้วเสด็จไปสู่มหาเจดีย์
มหาเจติยโต นาคทีปเจติยํ
จากมหาเจดีย์สู่นาคเจดีย์
(เข้าใจว่าเป็นชื่อสถานที่ในเกาะลังกา ท่านระบุไว้พอเป็นตัวอย่าง)
ตโต โพธิปลฺลงฺกํ คมิสฺสนฺติ ฯ
แต่นั้น จักเสด็จไปสู่โพธิบัลลังก์ (คือสถานที่ตรัสรู้ในชมพูทวีป)
นาคภวนโตปิ เทวโลกโตปิ พฺรหฺมโลกโตปิ ธาตุโย โพธิปลฺลงฺกเมว คมิสฺสนฺติ ฯ
พระธาตุทั้งหลายจากนาคพิภพบ้าง จากเทวโลกบ้าง จากพรหมโลกบ้าง จักเสด็จไปรวมกันที่โพธิบัลลังก์
สาสปมตฺตาปิ ธาตุ น อนฺตรา นสฺสิสฺสติ ฯ
พระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดจักไม่หายไปในระหว่าง
(หมายความว่า พระบรมสารีริกธาตุที่เหลืออยู่ในวันถวายพระเพลิงและได้แจกจ่ายไปประดิษฐานตามที่ต่าง ๆ ทุกแห่งจนถึงทุกวันนี้ จะเสด็จไปรวมกันที่โพธิบัลลังก์ไม่ขาดหายไปเลยแม้แต่องค์เดียว)
สพฺพา ธาตุโย มหาโพธิมณฺเฑ สนฺนิปติตฺวา พุทฺธรูปํ คเหตฺวา โพธิมณฺเฑ ปลฺลงฺเกน นิสินฺนํ พุทฺธสรีรํ ทสฺเสนฺติ ฯ
พระธาตุทั้งหมดเสด็จไปรวมกันที่มหาโพธิมัณฑสถานแล้วประกอบรูปขึ้นเป็นองค์พระ แสดงพระพุทธสรีระประทับนั่งขัดสมาธิ ณ โพธิมัณฑสถาน
ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณานิ อสีตฺยานุพฺยญฺชนานิ พฺยามปฺปภาติ สพฺพํ ปริปุณฺณเมว โหติ ฯ
อันว่ามหาปุริสลักษณะ 32 ประการ อนุพยัญชนะ 80 พระรัศมีประมาณวาหนึ่ง ทั้งหมดมีครบบริบูรณ์เหมือนเดิม
ตโต ยมกปาฏิหาริยทิวเส วิย ปาฏิหาริยํ กตฺวา ทสฺเสนฺติ ฯ
แต่นั้น ก็ทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏดุจเดียวกับวันที่แสดงยมกปาฏิหาริย์
ตํ ฐานํ มนุสฺสภูตสตฺโต นาม ตตฺถ คโต นตฺถิ
ในกาลนั้น ผู้ได้นามว่าเป็นมนุษย์ที่จะได้ไปดูรู้เห็นอยู่ในที่นั้นบ่มิได้มี (น่าจะหมายความว่า ในบัดนั้น “คน” ที่รู้จักนับถือพระพุทธศาสนามิได้มีอยู่ในโลกนี้อีกเลย)
ทสสหสฺสจกฺกวาเฬ ปน เทวตา สพฺพาว สนฺติปติตฺวา อชฺช ทสพโล ปรินิพฺพายติ อิโตทานิ ปฏฺฐาย อนฺธการํ ภวิสฺสตีติ ปริเทวนฺติ ฯ
มีแต่เทพยดาในหมื่นจักรวาลมาประชุมกันทั้งหมด พากันครวญคร่ำกำสรดรำพันว่า วันนี้พระทศพลจะปรินิพพาน โลกจักมืดมนอนธการจำเดิมแต่บัดนี้ไป
อถ ธาตุสรีรโต เตโช สมุฏฺฐาย ตํ สรีรํ อปณฺณตฺติกภาวํ คเมติ ฯ
ลำดับนั้น เตโชธาตุก็ลุกโพลงขึ้นจากพระสรีรธาตุ เผาผลาญพระสรีระนั้นจนสิ้นร่องรอย
ธาตุสรีรโต สมุฏฺฐิตา ชาลา ยาว พฺรหฺมโลกา อุคฺคจฺฉนฺติ
เปลวเพลิงที่โพลงขึ้นจากพระสรีรธาตุพลุ่งขึ้นจนถึงพรหมโลก
สาสปมตฺตายปิ ธาตุยา สติ เอกชาลาว ภวิสฺสติ ฯ
พระธาตุแม้เพียงเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดยังเหลืออยู่ เพลิงก็จักยังมีอยู่เปลวหนึ่ง
ธาตูสุ ปริยาทานํ คตาสุ ปจฺฉิชฺชิสฺสติ ฯ
เมื่อพระธาตุหมดสิ้นไปแล้ว เปลวเพลิงก็ขาดหายไปสิ้น
เอวํ มหนฺตํ อานุภาวํ ทสฺเสตฺวา ธาตุโย อนฺตรธายนฺติ ฯ
พระธาตุทั้งหลายแสดงมหานุภาพอย่างนี้แล้วก็อันตรธานสูญสิ้นไป
ตทา เทวสงฺโฆ พุทฺธานํ ปรินิพฺพุตทิวเส วิย ทิพฺพคนฺธมาลาตุริยาทีหิ สกฺการํ กตฺวา …
คราวครั้งนั้น หมู่เทพยดากระทำสักการะด้วยทิพยสุคนธมาลาดุริยางค์เป็นอาทิ ดังที่ได้กระทำมาในวันที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายปรินิพพาน
ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา วนฺทิตฺวา อนาคเต อุปฺปชฺชนกพุทฺธํ ปสฺสิตุํ ลภิสฺสาม ภควาติ วตฺวา สกสกฏฺฐานเมว คจฺฉติ ฯ
แล้วชวนกันกระทำประทักษิณ 3 วาระ ถวายอภิวาทแล้วกล่าวขึ้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์จักได้รอเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้จะเสด็จอุบัติขึ้นในอนาคต ดังนี้ แล้วก็กลับคืนสู่ทิพยสถานของตน ๆ
อิทํ ธาตุอนฺตรธานํ นาม.
นี้ชื่อว่า ธาตุอันตรธาน
ที่มา: มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตรนิกาย ภาค 1 หน้า 121-123
…………..
พระบรมสารีริกธาตุเป็นสิ่งสุดท้ายที่ประกาศให้รู้ว่า โลกในยุคสมัยนี้เคยมีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่ในจิตใจของมวลมนุษย์
เมื่อพระบรมสารีริกธาตุอันตรธานแล้ว ก็เป็นอันว่าพระพุทธศาสนาดับสูญสิ้นไปจากโลกโดยสิ้นเชิง โลกจะมืดมนอนธการด้วยอวิชชาโมหะหนาทึบไปจนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปอุบัติขึ้น ดั่งอาทิตย์อุทัยส่องโลกนี้พร้อมทั้งสรรพโลกให้สว่างไสวขึ้นอีกวาระหนึ่งฉะนั้น
…………..
ดูก่อนภราดา!
: จะศึกษาและปฏิบัติธรรมเดี๋ยวนี้ให้เด็ดขาด
: ฤๅจะรอไปจนถึงวันพระธาตุอันตรธาน?
#บาลีวันละคำ (4,470)
7-9-67
…………………………….
…………………………….