บาลีวันละคำ

กลองวิโยคสิกขา (บาลีวันละคำ 4,523)

กลองวิโยคสิกขา

กลองสัญญาณลาสิกขา

อ่านว่า กฺลอง-วิ-โยก-สิก-ขา

ประกอบด้วยคำว่า กลอง + วิโยค + สิกขา

(๑) “กลอง

เป็นคำไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า – 

กลอง : (คำนาม) เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี ขึงด้วยหนัง ใช้ตีบอกสัญญาณ กำกับจังหวะ หรือใช้ตีร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น ๆ ตัวกลองเรียกว่า “หุ่น” ลักษณะกลมกลวงทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่นไม้ชิงชัน ไม้มะริด ไม้มะม่วง มีทั้งหน้าเดียวและ ๒ หน้า ที่ขึ้นหนังหน้าเดียว เช่น โทน กลองยาว รำมะนา ที่ขึ้นหนัง ๒ หน้า เช่น กลองทัด ตะโพน เปิงมาง กลองแขก กลองมลายู กลองชนะ การขึ้นหนังมีทั้งที่ใช้หมุดตรึงให้แน่น และใช้โยงเร่งเสียงด้วยสายหนัง เรียกว่า หนังเรียด หรือใช้หวายหรือลวด ยังมีกลองที่หล่อด้วยโลหะทั้งลูก แต่มิได้ขึงด้วยหนัง ก็มี เช่น มโหระทึก และกลองที่ทำด้วยดินเผา การตีกลองอาจใช้ไม้ตี มือ (ฝ่ามือ) หรือนิ้ว เพื่อให้เกิดเสียงดังก้อง, ลักษณนามว่า ใบ หรือ ลูก.”

(๒) “วิโยค” 

บาลีอ่านว่า วิ-โย-คะ รากศัพท์มาจาก วิ (คำอุปสรรค = พิเศษ, แจ้ง, ต่าง) +  ยุชฺ (ธาตุ = ประกอบ) ปัจจัย, ลบ , แผลง อุ ที่ ยุ– เป็น โอ, แปลง เป็น

: วิ + ยุชฺ = วิยุชฺ + = วิยุชณ > วิยุช > วิโยช > วิโยค (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “อันบุคคลพึงประกอบต่าง” คือ อาการที่ต่างไปจากการประกอบ คือแทนที่จะเป็นการประกอบเข้าไว้ด้วยกัน ก็กลับเป็นแยกออกจากกัน 

ดังนั้น “วิโยค” จึงหมายถึง การแยกกัน, การพรากจากกัน (separation)

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

วิโยค : (คำนาม) การจากไป, การพลัดพราก, ความร้าง, ความห่างเหิน. (ป., ส.).”

(๓) “สิกขา” 

เขียนแบบบาลีเป็น “สิกฺขา” (มีจุดใต้ กฺ) อ่านว่า สิก-ขา รากศัพท์มาจาก สิกฺขฺ (ธาตุ = ศึกษา, เรียนรู้) + (อะ) ปัจจัย + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์

: สิกฺข + = สิกฺข + อา = สิกฺขา แปลตามศัพท์ว่า “ข้อปฏิบัติอันบุคคลพึงศึกษา” 

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “สิกฺขา” ไว้ดังนี้ –

(1) study, training, discipline (การศึกษา, การฝึก, สิกขาหรือวินัย)

(2) [as one of the 6 Vedāngas] phonology or phonetics, combd with nirutti [interpretation, etymology] ([เป็นหนึ่ีงในเวทางค์ 6] วิชาว่าด้วยเสียง หรือการอ่านออกเสียงของคำต่าง ๆ, รวมกับ นิรุตฺติ [การแปลความหมาย, นิรุกติ]) 

ความหมายของ “สิกขา” ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

สิกขา : (คำนาม) ข้อที่จะต้องศึกษา, ข้อที่จะต้องปฏิบัติ ได้แก่ ศีล เรียกว่า ศีลสิกขา สมาธิ เรียกว่า จิตสิกขา และปัญญา เรียกว่า ปัญญาสิกขา รวมเรียกว่า ไตรสิกขา; การศึกษา, การเล่าเรียน, เช่น ปริยัติสิกขา ปฏิบัติสิกขา. (ป.; ส. ศิกฺษา).”

ในภาษาไทย “สิกฺขา” นิยมใช้ตามรูปสันสกฤต คือ “ศิกฺษา” แล้วเสียงกลายเป็น “ศึกษา” และพูดทับศัพท์ว่า “ศึกษา” จนเข้าใจกันทั่วไป

ศึกษา” ในความเข้าใจทั่วไป มักหมายความเพียงแค่ “เรียนวิชาความรู้” 

แต่ “สิกฺขา” ในภาษาบาลีหมายถึง การฝึกฝนปฏิบัติ, การเล่าเรียนให้รู้เข้าใจและฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นคุณสมบัติที่เกิดมีขึ้นในตนหรือให้ทำได้ทำเป็น ตลอดจนแก้ไขปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปจนถึงความสมบูรณ์

สำหรับบรรพชิต “สิกฺขา” หมายถึงระบบวิถีชีวิตทั้งชีวิต เช่น คฤหัสถ์บวชเป็นภิกษุ นั่นคือการเข้าสู่ระบบสิกขา คือใช้ชีวิตเยี่ยงบรรพชิตตามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้

การประสมคำ :

วิโยค + สิกขา = วิโยคสิกขา เป็นคำประสมแบบไทย แปลจากหน้าไปหลังว่า “การพรากจากสิกขา” ก็คือ “ลาสิกขา” นั่นเอง

กลอง + วิโยคสิกขา = กลองวิโยคสิกขา หมายถึง กลองที่ตีเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า บัดนี้มีภิกษุลาสิกขาอีกแล้ว อาจพูดเป็นคำไทยว่า “กลองลาสิกขา” แต่อาจจะมีคนช่างคิดจับเอาไปท้วงว่า กลองบวชตั้งแต่เมื่อไรจึงลาสิกขา กลองลาสิกขาได้หรือ เพราะฉะนั้น จะเรียกยืดออกไปอีกหน่อยว่า “กลองสัญญาณลาสิกขา” ก็ได้

ขยายความ :

ผู้เขียนบาลีวันละคำอ่านพบคำว่า “กลองวิโยคสิกขา” ในโพสต์ของญาติมิตรท่านหนึ่ง เห็นว่าเป็นคำแปลกดีจึงนำมาเขียนเป็นบาลีวันละคำ

ในโพสต์นั้นมีคำอธิบายถึงความเป็นมาของ “กลองวิโยคสิกขา” ไว้ด้วย จึงขออนุญาตนำมาเสนอไว้ในที่นี้ ดังนี้ –

…………..

กลองวิโยคสิกขา โดย สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร 

ธรรมเนียมวัดบวรนิเวศ ผู้ที่เข้ามาบวชเรียนนั้น หากปรารถนาจักลาสิกขา พระวชิรญาณภิกขุ (พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าจอมเกล้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔) เจ้าอาวาสวัดในสมัยนั้น ไม่โปรดให้พระภิกษุสามเณรลาสิกขาพร่ำเพรื่อ จึงมีการกำหนด ในช่วงเวลาเมื่อออกพรรษาแล้วในวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ เดือนอ้าย เดือน ๓ เดือน ๕ จักมีการตีกลองวิโยคสิกขาเป็นสัญญาณในการลาสิกขา

ปัจจุบัน กลองวิโยคสิกขาแขวนอยู่ที่ใต้มุขด้านทิศใต้ของตำหนักเดิม คณะตำหนัก

ธรรมเนียมการลาสิกขานั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ตรัสเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงบัญญัติเบญจศีลอย่างต่ำฝากพระชินสีห์ไว้ และพระองค์ได้ทรงรับต่อมาสำหรับให้โอวาทแก่ภิกษุสามเณรเพื่อลาสิกขา ดังนี้

๑. ปาณาติบาตวิรัติ มิให้ฆ่านกบนฟ้า เนื้อในป่า ปลาในน้ำ ที่อยู่เป็นปรกติตามสบายของมัน แต่ถ้าจะฆ่ากินบ้างก็ควรทำแต่สัตว์ที่เขาจับมาผูกมัดหรือขังไว้แล้ว

๒. อทินนาทานวิรัติ มิให้ลักฉ้อแย่งชิงของเขามากมาย จนเจ้าของต้องล่มจม แต่ถ้าไม่มีจะกินจริง ๆ ก็ควรถือเอาบ้างแต่เล็กน้อยพอยังชีวิตให้เป็นไป

๓. กาเมสุมิจฉาจารวิรัติ มิให้ล่วงในภริยาเขา แต่ถ้าจะต้องล่วงก็ควรให้เป็นไปเพียงในลูกหลานเขา เป็นต้น

๔. มุสาวาทวิรัติ มิให้เป็นพยานเท็จและส่อเสียดให้เขาล่มจม แต่ถ้าจะต้องปด ก็ควรปดแต่เล็กน้อยพอยังชีวิตให้เป็นไป

๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานวิรัติ มิให้กินเหล้า เมาเที่ยวเกะกะในกลางถนนและในที่ประชุมชนทั่วไป แต่ถ้าอยากจะกินก็ควรซื้อมากินที่บ้าน เมาแล้วก็นอนเสีย

ศีล ๕ อย่างต่ำนี้ ลดหย่อนผ่อนลงมา เพื่อประสงค์จะให้คนที่ยังไม่สามารถจะประพฤติศีล ๕ อย่างละเอียดได้ ค่อยประพฤติไปจนคุ้นเคย เขาจะได้รักษาศีล ๕ อย่างละเอียดได้

จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในวัดบวรนิเวศสืบมาจนทุกวันนี้ว่า พระอุปัชฌาย์อาจารย์ผู้รับการลาสิกขาของภิกษุสามเณรจะต้องให้โอวาทเรื่องเบญจศีลอย่างต่ำด้วยเสมอ

(เรียบเรียง ศรัณย์ มะกรูดอินทร์)

…………..

หมายเหตุ: คัดมาจากโพสต์ของ Padermchai Goonpiboon

ต้นฉบับมาจากเฟซบุ๊กชื่อ เล่าเรื่อง..วัดบวรฯ โพสต์ไว้เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2018 

…………..

ดูก่อนภราดา!

พระในพระพุทธศาสนา –

: บางรูป พระเป็นฝ่ายบอกลาสิกขา

: บางรูป สิกขาเป็นฝ่ายบอกลาพระ

#บาลีวันละคำ (4,523)

30-10-67 

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *