อัสสามณกัง (บาลีวันละคำ 4,555)
อัสสามณกัง
ไม่ใช่กิจของนักบวช
อ่านว่า อัด-สา-มะ-นะ-กัง
“อัสสามณกัง” เขียนแบบบาลีเป็น “อสฺสามณกํ” อ่านว่า อัด-สา-มะ-นะ-กัง รากศัพท์มาจาก น + สมณ + ณฺวุ
(๑) “น”
บาลีอ่านว่า นะ เป็นศัพท์จำพวกนิบาต แปลว่า ไม่, ไม่ใช่ (no, not)
“น” เมื่อไปสมาสกับคำอื่น มีกฎดังนี้ –
(1) ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แปลง น เป็น อ–
(2) ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยสระ (อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ) แปลง น เป็น อน–
(๒) “สมณ”
อ่านว่า สะ-มะ-นะ รากศัพท์มาจาก สมฺ (ธาตุ = สงบ) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ), แปลง น เป็น ณ
: สมฺ + ยุ > อน = สมน > สมณ แปลตามศัพท์ว่า “ผู้สงบจากบาปด้วยประการทั้งปวงด้วยอริยมรรค” หรือแปลสั้น ๆ ว่า “ผู้สงบ” หมายถึง นักบวช, ภิกษุ, บรรพชิต
ข้อสังเกต: ศัพท์ที่ลง ยุ ปัจจัย แปลงเป็น อน มักจะเป็นนปุงสกลิงค์ แต่ที่เป็นปุงลิงค์ก็มีบ้าง เช่น “สมณ” ศัพท์นี้เป็นต้น
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “สมณ” ว่า a wanderer, recluse, religieux (นักบวช, ฤๅษี, สมณะ)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สมณ-, สมณะ : (คำนาม) ผู้สงบกิเลสแล้ว โดยเฉพาะหมายถึงภิกษุในพระพุทธศาสนา. (ป.; ส. ศฺรมณ).”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –
“สมณะ : ‘ผู้สงบ’ หมายถึงนักบวชทั่วไป แต่ในพระพุทธศาสนา ท่านให้ความหมายจำเพาะ หมายถึงผู้ระงับบาป ได้แก่พระอริยบุคคล และผู้ปฏิบัติเพื่อระงับบาป ได้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระอริยบุคคล.”
(๓) “ณฺวุ”
อ่านว่า นะ-วุ เป็นปัจจัยตัวหนึ่งในจำพวกนามกิตก์ (นา-มะ-กิด) คือคำนามประเภทหนึ่งในภาษาบาลี นิยมเรียกโดยมีคำว่า “ปัจจัย” ต่อท้าย เป็น “ณฺวุ ปัจจัย” ปัจจัยในกลุ่มนี้เรียกว่า “กิตปัจจัย” (กิ-ตะ-ปัด-ไจ) มี 5 ตัว คือ กฺวิ ณี ณฺวุ ตุ รู
กฎของ “ณฺวุ” ที่นักเรียนบาลีจำได้ขึ้นใจคือ –
(1) แปลง ณฺวุ เป็น อก (อะ-กะ)
(2) ทีฆะต้นศัพท์ โดยเฉพาะ อะ เป็น อา ตามสูตร “ด้วยอำนาจปัจจัยเนื่องด้วย ณ” กล่าวคือ ปัจจัยตัวใดมี ณ อยู่ในตัวปัจจัย ศัพท์ที่ลงปัจจัยตัวนั้นตกอยู่ในกฎที่จะต้อง “ทีฆะต้นศัพท์”
การประกอบศัพท์ :
(1) สมณ + ณฺวุ แปลง ณฺวุ เป็น อก (อะ-กะ) และทีฆะต้นศัพท์ คือ อะ ที่ ส-(มณ) เป็น อา (สมณ > สามณ)
: สมณ + ณฺวุ = สมณณฺวุ > สมณก > สามณก (สา-มะ-นะ-กะ) แปลว่า “(กิจ) อันเป็นของสมณะ”
(2) น + สามณก แปลง น เป็น อ ตามกฎการประสมของ น + ที่กล่าวข้างต้น เนื่องจาก “สามณก” ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ
และเพราะ “สามณก” ขึ้นต้นด้วย ส จึงซ้อน สฺ ระหว่าง น กับศัพท์หลัง
: น + สฺ + สามณก = นสฺสามณก > อสฺสามณก (อัด-สา-มะ-นะ-กะ) แปลว่า “ไม่ใช่กิจอันเป็นของสมณะ” = ไม่ใช่กิจของสมณะ, ไม่ใช่กิจของนักบวช
“อสฺสามณก” แจกด้วยวิภัตตินามที่หนึ่ง (ปฐมาวิภัตติ) เอกวจนะ นปุงสกลิงค์ เปลี่ยนรูปเป็น “อสฺสามณกํ”
“อสฺสามณกํ” –
อ่านว่า อัด-สา-มะ-นะ-กัง
แปลว่า ไม่ใช่กิจของสมณะ, ไม่ใช่กิจของนักบวช
ขยายความ :
เวลาเห็นพระภิกษุสามเณรกระทำการบางอย่างที่เราเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็จะมีคำพูดว่า “ไม่ใช่กิจของสงฆ์” หมายความว่า การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระภิกษุสามเณรจะพึงกระทำ
อยู่มาวันหนึ่ง มีท่านผู้รู้ภาษาบาลีและรู้หลักพระธรรมวินัยเสนอหลักฐานว่า (ดูภาพประกอบ) –
…………..
พระองค์เมื่อทรงตำหนิพระที่ทำตัวไม่ดี จะกี่รูปก็ช่าง จะใช้พระดำรัสว่า ไม่ใช่กิจของนักบวช, นักบวชไม่ควรทำ (อสฺสามณกํ = สมณานํ กมุมํ น โหติ ฯ สมเณหิ อกตฺตพุพ) จะไม่ใช้พระดำรัสว่า ไม่ใช่กิจของสงฆ์ เพราะสงฆ์ในอุดมคติไม่ไปทำเรื่องให้ชวนตำหนิ
…………..
ผู้เขียนบาลีวันละคำเห็นว่า ข้อความที่เสนอนี้เป็นหลักฐานที่เป็นหลักวิชาเกี่ยวกับพระธรรมวินัย จึงนำมาเสนอเป็นบาลีวันละคำเพื่อช่วยกันพิจารณาว่า เราควรเลิกใช้คำว่า “ไม่ใช่กิจของสงฆ์” แล้วใช้คำว่า “ไม่ใช่กิจของนักบวช” แทน ดีหรือไม่?
ในภาษาไทย คำว่า “สงฆ์” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
…………..
สงฆ์ :
(๑) (คำนาม) ภิกษุ เช่น ของสงฆ์ พิธีสงฆ์, บางทีก็ใช้ควบกับคำ พระ หรือ ภิกษุ เป็น พระสงฆ์ หรือ ภิกษุสงฆ์ เช่น นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ มีภิกษุสงฆ์มารับบิณฑบาตมาก, ลักษณนามว่า รูป หรือ องค์ เช่น ภิกษุสงฆ์ ๒ รูป พระสงฆ์ ๔ องค์ (ป. สงฺฆ; ส. สํฆ).
(๒) (คำนาม) ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปร่วมกันทำสังฆกรรม แต่จำนวนภิกษุที่เข้าร่วมสังฆกรรมแต่ละอย่างไม่เท่ากัน คือในสังฆกรรมทั่ว ๆ ไป เช่น ในการสวดพิธีธรรม สวดอภิธัมมัตถสังคหะ ประกอบด้วยภิกษุ ๔ รูป เรียกว่า สงฆ์จตุรวรรค ในการรับกฐิน สวดพระปาติโมกข์ ปวารณากรรม และอุปสมบทในถิ่นที่ขาดแคลนภิกษุ ต้องประกอบด้วยภิกษุ ๕ รูป เรียกว่า สงฆ์ปัญจวรรค ในการอุปสมบทในถิ่นที่มีภิกษุมาก ต้องประกอบด้วยภิกษุ ๑๐ รูป เรียกว่า สงฆ์ทสวรรค และในการสวดอัพภานระงับอาบัติสังฆาทิเสส ต้องประกอบด้วยภิกษุ ๒๐ รูป เรียกว่า สงฆ์วีสติวรรค, ภิกษุที่เข้าร่วมสังฆกรรมดังกล่าว ถ้ามากกว่าจำนวนที่กำหนดจึงจะใช้ได้ ถ้าขาดจำนวนใช้ไม่ได้. (ป. สงฺฆ; ส. สํฆ).
…………..
ส่วนคำว่า “นักบวช” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
“นักบวช : (คำนาม) ผู้ที่ได้เข้าพิธีบวชตามลัทธิศาสนาต่าง ๆ เช่น ภิกษุ สามเณร บาทหลวง.”
…………..
ในภาษาไทย คำว่า “สงฆ์” หรือ “นักบวช” หมายถึง ภิกษุ ด้วย
จะต้องสังคายนาคำว่า “สงฆ์” ในภาษาไทยกันเสียใหม่ด้วยหรือไม่?
อนึ่ง คำบาลีที่เอามาใช้ในภาษาไทยและความหมายคลาดเคลื่อนไปจากความหมายในภาษาบาลีซึ่งมีอยู่เป็นอเนกอนันต์ เช่น –
“โมโห” บาลีหมายถึงความหลง ไทยหมายถึงโกรธ
“สงสาร” บาลีหมายถึงเวียนว่ายตายเกิด ไทยหมายถึง รู้สึกเห็นใจในความเดือดร้อนหรือความทุกข์ของผู้อื่น เป็นต้น
คำเหล่านี้ในภาษาไทยจะต้องสังคายนากันเสียใหม่ด้วยหรือไม่?
ใครจะเป็นผู้ตัดสินปัญหานี้?
หรือจะปล่อยให้เป็นปัญหาอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับปัญหาสารพัดที่เกิดขึ้นในสังคม?
มีแต่คนตั้งปัญหา
แต่ไม่มีคนตอบปัญหา
หรือว่าคำเสนอที่ยกมานั้น ผู้เสนอมีเจตนาเพียงเพื่อเสนอหลักฐานเพื่อให้ศึกษาเรียนรู้กันไว้เท่านั้น มิได้มีเจตนาจะให้เปลี่ยนแปลงการใช้ถ้อยคำภาษาอันเป็นเพียงสิ่งสมมุติ?
…………..
ดูก่อนภราดา!
“สมมุติ” ก็เป็น “สัจจะ” คือความจริงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “สมมติสัจจะ” คู่กับ “ปรมัตถสัจจะ”
สมมติสัจจะ: ความจริงโดยสมมุติ, ความจริงที่ขึ้นต่อการยอมรับของคน
ปรมัตถสัจจะ : ความจริงโดยปรมัตถ์, ความจริงที่ไม่ขึ้นต่อการยอมรับของคน
ดังนั้น –
: แม้ภาษาจะเป็นสิ่งสมมุติ
: แต่ก็ต้องสมมุติให้จริง
#บาลีวันละคำ (4,555)
1-12-67
…………………………….
…………………………….