เขาทำเราถึงชีวิต
เขาทำเราถึงชีวิต
เรามีสิทธิ์เพียงแค่อดทน
—————-
ญาติมิตรคงจะได้รับทราบกันแล้วถึงข่าวที่พระมหารูปหนึ่งท่านถูกขอร้องให้ปิดเฟซบุ๊กส่วนตัว ด้วยเหตุที่ท่านออกมาบอกว่า พระและชาวพุทธแถวจังหวัดชายแดนภาคใต้ถูก “โจรก่อการร้ายมลายู” ฆ่าอยู่เป็นประจำ เราอดทนกันมาพอแล้ว ถึงเวลาที่ชาวพุทธควรจะเอาคืนบ้าง-ความหมายเป็นประมาณนี้
พอท่านพูดออกไปอย่างนั้น คนก็รุมด่าท่านกันตรึม
ผมเห็นทางเฟซบุ๊กนี่เองว่า มีคนด่าท่านว่า “เหี้ยถือบาตร”
เห็นมีคนกด like เป็นล้าน คงจะสะใจกันเป็นอันมาก
ร้อนถึงมหาเถรสมาคม รัฐบาล และหน่วยงานเกี่ยวกับความมั่นคงต้องออกมาบอกให้ท่านหยุด
—————
ข้อสังเกตของผมก็คือ:
เวลาชาวพุทธถูกฆ่า มีคนด่าคนฆ่าเพียงสิบ
เวลามีคนออกมาบอกว่า ชาวพุทธควรเอาคืนบ้าง
แค่บอก ยังไม่ได้ทำ คนบอกนั่นถูกด่าเป็นล้าน
เพียงเพราะคนที่บอกนั่นเป็นพระ!
(ผมยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าคนที่ออกมาบอกเช่นนั้นไม่ใช่พระ จะมีคนด่าเป็นล้านไหม)
—————
เพื่อเป็นการเจริญ “ศาสนานุสติ” (เป็นคำที่ผมคิดขึ้นเอง) สำหรับคนที่ออกมาด่า คนที่เห็นด้วยกับการด่า และคนที่อาจจะรู้สึกสลดใจกับการด่า ผมขออนุญาตคัดนิทานชาดกจากคัมภีร์มาให้อ่านเรื่องหนึ่ง-คัดมาตามสำนวนที่ท่านแปลไว้เดิม เพราะผมยังไม่มีกะจิตกะใจที่จะแปลเอง
นิทานเรื่องนี้ค่อนข้างยาว ท่านที่ไม่คุ้นกับสำนวนบาลี ขอได้โปรดใช้ความอดทนในการอ่านเป็นพิเศษนะครับ
————-
ขันติวาทีชาดก
—————
ในอดีตกาล พระเจ้ากาสีพระนามว่า กลาปุ ทรงครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ เป็นมาณพชื่อว่า กุณฑลกุมาร เจริญวัยแล้ว ได้เล่าเรียนศิลปะทุกอย่างในนครตักกสิลา แล้วรวบรวมทรัพย์สมบัติตั้งตัว เมื่อบิดามารดาล่วงลับไป จึงมองดูกองทรัพย์แล้วคิดว่า “ญาติทั้งหลายของเราทำทรัพย์ให้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ถือเอาไปเลย แต่เราควรจะถือเอาทรัพย์นั้นไป” คิดแล้วจึงจัดแจงทรัพย์ทั้งหมด ให้ทรัพย์แก่คนที่ควรให้ แล้วเข้าไปยังป่าหิมพานต์ บวช ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยผลาผลอยู่เป็นเวลาช้านาน เพื่อต้องการจะเสพรสเค็มและรสเปรี้ยวจึงไปยังถิ่นมนุษย์ ถึงนครพาราณสีโดยลำดับ แล้วอยู่ในพระราชอุทยาน
วันรุ่งขึ้น เที่ยวภิกขาจารไปในนคร ถึงประตูนิเวศน์ของเสนาบดี เสนาบดีเลื่อมใสในอิริยาบถของพระโพธิสัตว์นั้น จึงให้เข้าไปยังเรือนโดยลำดับ ให้บริโภคโภชนะที่เขาจัดไว้เพื่อตน ให้รับปฏิญญาแล้ว ให้อยู่ในพระราชอุทยานนั้นนั่นเอง
อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ากลาปุทรงมึนเมาน้ำจัณฑ์ มีนางนักสนมห้อมล้อมเสด็จไปยังพระราชอุทยานด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่ ให้ลาดพระที่บรรทมบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล แล้วบรรทมเหนือตักของหญิงที่ทรงโปรดคนหนึ่ง หญิงนักฟ้อนทั้งหลายผู้ฉลาดในการขับร้อง การประโคมและการฟ้อนรำ ก็ประกอบการขับร้องเป็นต้น พระเจ้ากลาปุได้มีสมบัติดุจของท้าวสักกเทวราช ก็ทรงบรรทมหลับไป
ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นพากันกล่าวว่า “พวกเราประกอบการขับร้องเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่พระราชาใด พระราชานั้นก็ทรงบรรทมหลับไปแล้ว ประโยชน์อะไรแก่พวกเราด้วยการขับร้องเป็นต้น” จึงทิ้งเครื่องดนตรีมีพิณเป็นต้นไว้ในที่นั้นๆ เอง แล้วหลบไปยังพระราชอุทยาน ถูกดอกไม้ ผลไม้และใบไม้เป็นต้นล่อใจ จึงอภิรมย์อยู่ในพระราชอุทยาน
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ ดุจช้างซับมันตัวประเสริฐ ยังเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขในบรรพชาอยู่ ณ โคนต้นสาละมีดอกบานสะพรั่งในพระราชอุทยานนั้น
ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นหลบไปยังพระราชอุทยานแล้วเที่ยวไปอยู่ ได้เห็นพระโพธิสัตว์นั้นจึงกล่าวกันว่า “มาเถิดเราทั้งหลาย พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราเป็นบรรพชิตนั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง พวกเราจักนั่งฟังอะไรๆ ในสำนักของพระผู้เป็นเจ้านั้น ตราบเท่าที่พระราชายังไม่ทรงตื่นบรรทม” จึงได้ไปไหว้นั่งล้อมแล้วกล่าวว่า “ขอท่านโปรดกล่าวอะไรๆ ที่ควรกล่าวแก่พวกดิฉันเถิด”
พระโพธิสัตว์จึงกล่าวธรรมแก่หญิงเหล่านั้น
ครั้งนั้น หญิงคนที่พระราชาบรรทมหลับบนตักขยับตัว ทำให้พระราชาตื่นบรรทม พระราชาทรงตื่นบรรทมแล้วไม่เห็นหญิงพวกนั้น จึงตรัสว่า “พวกหญิงถ่อยไปไหนกันหมด”
หญิงคนโปรดนั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช หญิงเหล่านั้นไปนั่งล้อมดาบสรูปหนึ่ง”
พระราชาทรงกริ้ว ถือพระขรรค์ได้ก็รีบเสด็จไปด้วยตั้งพระทัยว่า จักตัดหัวของชฎิลโกงนั้น
ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นเห็นพระราชาทรงกริ้วกำลังเสด็จมา ในบรรดาหญิงเหล่านั้น หญิงคนที่โปรดมากไปแย่งเอาพระแสงขรรค์จากพระหัตถ์ของพระราชา ให้พระราชาสงบระงับ
พระราชาเสด็จไปประทับยืนใกล้พระโพธิสัตว์ แล้วตรัสถามว่า “สมณะ เจ้ามีวาทะว่ากระไร?”
พระโพธิสัตว์ทูลว่า “มหาบพิตร อาตมามีขันติวาทะ กล่าวยกย่องขันติ”
พระราชาตรัสว่า “ที่ชื่อว่าขันตินั้นคืออะไร?”
พระโพธิสัตว์ทูลว่า “คือความไม่โกรธในเมื่อเขาด่าอยู่ ประหารอยู่ เย้ยหยันอยู่”
พระราชาตรัสว่า “ประเดี๋ยวเราจักเห็นความมีขันติของเจ้า”
แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจรมา เพชฌฆาตนั้นถือขวานและแซ่หนามตามจารีตของตน นุ่งผ้ากาสาวะ สวมพวงมาลัยแดง มาถวายบังคมพระราชา แล้วกราบทูลว่า “ข้าพระองค์จะทำอะไร พระเจ้าข้า?”
พระราชาตรัสว่า “เจ้าจงจับดาบสชั่วเยี่ยงโจรนี้ ฉุดให้ล้มลงพื้น แล้วเอาแซ่หนามเฆี่ยนสองพันครั้งในข้างทั้งสี่ คือข้างหน้า ข้างหลังและด้านข้างๆ ทั้งสองด้าน”
เพชฌฆาตนั้นได้กระทำเหมือนรับสั่งนั้น
ผิวของพระโพธิสัตว์ขาด หนังขาด เนื้อขาด โลหิตไหลนอง
พระราชาตรัสถามอีกว่า “เจ้ามีวาทะว่ากระไร?”
พระโพธิสัตว์ทูลว่า “มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ ก็พระองค์สำคัญว่า ขันติมีในระหว่างหนังของอาตมากระนั้นหรือ ขันติไม่ได้มีในระหว่างหนังของอาตมา มหาบพิตร ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยซึ่งพระองค์ไม่อาจแลเห็น”
เพชฌฆาตทูลถามอีกว่า “ข้าพระองค์จะทำอะไร?”
พระราชาตรัสว่า “จงตัดมือทั้งสองข้างของดาบสโกงผู้นี้”
เพชฌฆาตจับขวานตัดมือทั้งสองข้างแค่ข้อมือ
ทีนั้น พระราชาตรัสกะเพชฌฆาตนั้นว่า “จงตัดเท้าทั้งสองข้าง”
เพชฌฆาตก็ตัดเท้าทั้งสองข้าง
โลหิตไหลออกจากปลายมือและปลายเท้าเหมือนน้ำครั่งไหลออกจากหม้อทะลุ
พระราชาตรัสถามอีกว่า “เจ้ามีวาทะว่ากระไร?”
พระโพธิสัตว์ทูลว่า “มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ ก็พระองค์สำคัญว่า ขันติมีอยู่ที่ปลายมือปลายเท้าของอาตมากระนั้นหรือ ขันตินั่นไม่มีอยู่ที่นี้ เพราะขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันเป็นสถานที่ลึกซึ้ง”
พระราชาตรัสว่า “จงตัดหูและจมูกของดาบสนี้”
เพชฌฆาตก็ตัดหูและจมูก
ทั่วทั้งร่างกายของดาบสมีแต่โลหิต
พระราชาตรัสถามอีกว่า “เจ้ามีวาทะกระไร?”
พระโพธิสัตว์ทูลว่า “มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ แต่พระองค์ได้สำคัญว่า ขันติตั้งอยู่เฉพาะที่ปลายหู ปลายจมูก ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันลึก”
พระราชาตรัสว่า “ไอ้ชฎิลโกงเอ๋ย มึงคนเดียวจงนั่งยกเชิดชูขันติของมึงไปเถิด” ตรัสแล้วเอาพระบาทกระทืบยอดอก แล้วเสด็จจากไป
เมื่อพระราชานั้นเสด็จไปแล้ว เสนาบดีเช็ดโลหิตจากร่างกายของพระโพธิสัตว์ แล้วเก็บรวบรวมปลายมือ ปลายเท้า ปลายหูและปลายจมูกไว้ที่ชายผ้าสาฎก ค่อยๆ ประคองให้พระโพธิสัตว์นั่ง แล้วไหว้ ได้นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านจะโกรธ ควรโกรธพระราชาผู้ทำผิดในท่าน ไม่ควรโกรธผู้อื่น”
แล้วกล่าวเป็นโศลกขึ้นว่า :-
โย เต หตฺเถ จ ปาเท จ
กณฺณนาสญฺจ เฉทยิ
ตสฺส กุชฺฌ มหาวีร
มา รฏฺฐํ วินสฺส อิทํ.
ข้าแต่ท่านมหาวีระ
ผู้ใดให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของท่าน
ท่านจงโกรธผู้นั้นเถิด
อย่าได้ทำให้บ้านเมืองนี้พินาศเสียเลย
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวโศลกขึ้นว่า :-
โย เม หตฺเถ จ ปาเท จ
กณฺณนาสญฺจ เฉทยิ
จิรํ ชีวตุ โส ราชา
น หิ กุชฺฌนฺติ มาทิสา.
พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของอาตมภาพ
ขอพระราชาพระองค์นั้นจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเถิด
บัณฑิตทั้งหลายเช่นกับอาตมภาพย่อมไม่โกรธเคืองเลย
—————
พอเมื่อพระราชาเสด็จออกจากพระราชอุทยานลับคลองจักษุของพระโพธิสัตว์เท่านั้น มหาปฐพีอันหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์นี้ก็แยกออกประดุจผ้าสาฎกทั้งกว้างทั้งแข็งแตกออกฉะนั้น เปลวไฟจากอเวจีนรกแลบออกมาจับพระราชาเหมือนห่มด้วยผ้ากัมพลแดงที่ตระกูลมอบให้
พระราชาเข้าสู่แผ่นดินที่ประตูพระราชอุทยานนั่นเอง แล้วตั้งอยู่เฉพาะในอเวจีมหานรก
พระโพธิสัตว์ก็มรณภาพลงในวันนั้นเอง
ราชบุรุษและชาวนครทั้งหลายถือของหอม ดอกไม้ ประทีปและธูป มากระทำฌาปนกิจสรีระของพระโพธิสัตว์
จบนิทานชาดกเรื่องขันติวาทีชาดก
—————-
ต่อไปนี้ โจรชาติไหน คนต่างศาสนาที่ไหนจะมาทำร้ายชาวพุทธ จะมาฆ่าชาวพุทธ ขอให้ชาวพุทธจงอยู่อย่างสงบ
การตอบโต้ใดๆ นั้น อย่าได้ทำ-แม้แต่จะคิด
ในทางอุดมคติ ขอให้ดูขันติวาทีดาบสในนิทานชาดกเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง คนที่คิดจะตอบโต้ ผลออกมาเป็นอย่างไร ขอให้ดูท่านพระมหารูปนั้นเป็นตัวอย่าง
ทนๆ กันหน่อยนะครับ อีกไม่เกินสามร้อยปี พระปฐมเจดีย์ก็จะเป็นบรมพุทโธแห่งประเทศไทยแล้ว
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
๑๖:๐๘