คงไม่ยากกว่าเอาแมวไปผูกคอลูกกระพรวน

คงไม่ยากกว่าเอาแมวไปผูกคอลูกกระพรวน
————————
เมื่อวานนี้ (๒๐ ก.พ.๕๗) ผมไปงานสวดศพญาติข้างภรรยาที่วัดเขียนเขต ปทุมธานี เพิ่งจะกลับถึงบ้านตอนสายวันนี้ (อันเป็นเหตุให้บาลีวันละคำประจำวันเมื่อวานนี้ต้องขาดหายไป)
มีข้อคิดความเห็นเกี่ยวกับพิธีสวดพระอภิธรรมมาฝากญาติมิตรหลายประการครับ :
๑ วัดนี้พระท่านสวด ๔ จบ และสวดครบ ๗ บททุกจบ จบหนึ่งพักทีหนึ่ง
อันนี้เป็นแบบเก่า น่าอนุโมทนาที่ท่านยังรักษารูปแบบเดิมไว้
เท่าที่เห็นทำกันในบัดนี้หลายวัดสวดแค่ ๒ จบ หรือแม้สวด ๔ จบ ก็ใช้วิธีสวดควบ ๒ จบพัก และ ๒ จบหลังมักตัดลัดสวดไม่ครบ ๗ บท
๒ หลายวัดเอาบทอื่นมาสวดเสริมหรือแทรก (ไม่ใช่พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ล้วนๆ) และหลายวัดมีบทแปลเป็นไทยด้วย อันนี้พึงทราบว่าเป็นแบบที่เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ใช่ของเดิม เป็นความพยายามที่จะแก้ปัญหา “ฟังสวดแล้วไม่รู้เรื่อง”
๓ พิธีสวดพระอภิธรรมที่ทำกันอยู่ทั่วไปในเมืองไทยนี้เป็นงานที่สนองศรัทธากับสมาธิล้วนๆ ไม่ได้สนองปัญญาใดๆ ทั้งสิ้น คือได้แต่ทำพิธีกันไปจนเสร็จ แต่ผู้ไปร่วมพิธีไม่ได้เกิดความรู้ใดๆ เพิ่มขึ้น (แม้แต่ที่ว่าสนองสมาธิ ก็น่าจะได้สำหรับบางคนเท่านั้น)
๔ ผมอยากให้วัดต่างๆ ปรับปรุงพิธีสวดพระอภิธรรมโดยเสริมปัญญาเข้าไปในขั้นตอนต่อไปนี้
ก่อนเริมพิธี ให้พระสงฆ์หรือผู้ทรงคุณวุฒิชี้แจงวิธีปฏิบัติในขั้นตอนต่างๆ เช่น
(1) จุดธูปเทียน จุดอะไรก่อน จุดจากไปไหนไปไหน ทำไมจึงต้องจุดแบบนั้น
(2) และแม้แต่วิธีกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ กราบอย่างไร (ที่เห็นเมื่อคืน ทุกคนกราบแบบ “แบะฝ่ามือใส่พื้น” ๓ ครั้ง อันเป็นแบบที่ชอบปฏิบัติกันทั่วไปหมด ต่อไปอาจต้องให้ฝรั่งมาสอนเสียก่อนจึงจะค่อยตื่นเต้นแล้วเห่อทำกันได้ถูก)
(3) ระหว่างนั่งฟังพระสวด ควรปฏิบัติตัวและปฏิบัติจิตอย่างไร
(4) วิธีทอดผ้าบังสุกล ทอดอย่างไร ต้องพูดหรือกล่าวคำอะไรหรือไม่ การทอดผ้าบังสุกุลมีความเป็นมาอย่างไร
(5) การถวายเครื่องไทยธรรม ทำอย่างไร แม้แต่การวางดอกไม้ที่ประกอบเครื่องไทยธรรม วาง “เอาก้านออกเอาดอกเข้า” หรือวางอย่างไร และเพราะเหตุไร
(6) การกรวดน้ำทำอย่างไร ทำทำไม ว่าบทอะไร เทน้ำให้หมดเต้าเมื่อถึงบทไหน
เรื่องเหล่านี้ควรอธิบายให้ความรู้แก่ผู้ไปร่วมพิธี (จะอธิบายรวดเดียว หรืออธิบายแต่ละเรื่องก่อนที่จะถึงขั้นตอนนั้นๆ ก็ได้)
(7) ในระหว่างพักแต่ละจบ ให้มีการบรรยายธรรมแสดงข้อคิดคติธรรมเกี่ยวกับชีวิต หรือจะให้ความรู้เกี่ยวความหมายของบทสวดแต่ละบทก็ได้ ตามเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้อาจปรับแก้ของเดิมจากสวด ๔ จบ เป็นสวด ๒ จบ คือสวดจบหนึ่ง แล้วบรรยายธรรรมพอสมควรแก่เวลาแล้วสวดจบที่สอง ก็ได้
ผมได้ยินว่าบางวัด (เช่นวัดชลประทานฯ) ท่านมีการบรรยายธรรมเสริมปัญญาในพิธีศพอยู่แล้ว เพียงแต่ยังเป็นเพียงหลักนิยมเฉพาะวัดนั้นๆ
ที่ผมว่ามานี้ขอเสนอให้เป็นหลักนิยมของคณะสงฆ์ คือให้คณะสงฆ์กำหนดเป็นนโยบายออกมาให้วัดต่างๆ ปฏิบัติ (เหมือนกับที่บางภาคของคณะสงฆ์กำหนดให้มีการแสดงตนเป็นพุทธมามกะทุกครั้งก่อนเริ่มพิธีบุญต่างๆ) ไม่ใช่ต่างวัดต่างทำกันไปตามนโยบายของแต่ละวัด
ปัญหาที่อาจจะเกิดก็คือ การขาดแคลนพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิที่จะมานำทางปัญญาให้แก่ญาติโยม เพราะเดี๋ยวนี้หลายๆ วัดเฉพาะพระที่สวดพระอภิธรรมได้ก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว
ผมว่าถ้ามองเห็นว่านี่เป็นปัญหา ก็น่าจะเป็นการดี คือเป็นการเตือนสติคณะสงฆ์ว่า กำลังทำอะไรอยู่ และจะต้องทำอะไรอีกบ้าง โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับบุคลากร
มีหลายท่านรำพึงรำพันว่า ความคิดน่ะดี แต่ทำไม่ได้หรอก
ไปบอกให้พระทำนั่นทำนี่ ยากยิ่งกว่าเอาลูกกระพรวนไปผูกคอแมว
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗