บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

คนที่น่าสงสารกว่า

คนที่น่าสงสารกว่า

——————–

นานมาแล้ว ผมไปไหว้พระในโบสถ์วัดแห่งหนึ่ง ออกจากโบสถ์มายืนดูอะไรเพลินๆ อยู่ข้างกำแพงแก้ว ทันใดนั้นก็มีสุภาพสตรีสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในเขตกำแพงแก้ว เธอสวมรองเท้าและกำลังจะเข้าไปในเขตสีมาโบสถ์ ผมคาดว่าเธอคงจะไปถอดรองเท้าที่หน้าประตูโบสถ์

สมัยโน้นผมยังปากเบาอยู่ จึงเอ่ยขึ้นด้วยความปรารถนาดีว่า

“ถอดรองเท้าก่อนน่าจะดีกว่านะครับ”

เธอมองผมแบบสำนวนที่ว่า “ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า” 

มองจากสายตาของเธอ ผมรู้ทันทีว่าเธอคิดว่าผมหาเรื่อง “จีบ” เธอ

เจอสายตาแบบนั้นผมเลยหมดกำลังใจที่จะอธิบาย

แต่ก็ได้หลักปฏิบัติ คือ เจตนาดีอย่างเดียวไม่พอ

ต้องแสดงออกอย่างฉลาดด้วย

—————

ดวงผมนี่แปลกมาก เคยสังเกตตัวเองว่าทำหรือพูดด้วยเจตนาอย่างหนึ่ง แต่มักจะถูกแปรเจตนาไปเสียอีกอย่างหนึ่งเสมอ แปลกจริงๆ

ที่ออกจะหนักมากมีอยู่คราวหนึ่ง 

อยู่ๆ ญาติมิตรหลายคนที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอันดีก็พร้อมใจกันแสดงท่าทีมึนชาเหมือนไม่รู้จักกันมาก่อน เหมือนผมไปประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงมา และเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง

ความจริงที่ต้องจำไว้ก็คือ ไม่มีใครสักคนเดียวมาถามผมว่าผมไปทำเรื่องอะไรที่น่ารังเกียจมาบ้างหรือเปล่า

ผมรู้สึกเหมือนถูกพิพากษาโดยที่จำเลยยังไม่ได้ให้การอะไรสักคำ

—————–

นั่นเป็นเรื่องที่เราถูกคนอื่นมอง

เรื่องที่เรามองคนอื่นก็ไม่ต่างกันเท่าไร

เราชอบคนโน้น เราชังคนนั้น ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้ไปถามเจ้าตัวเขาเลยว่า 

คุณทำความดีเรื่องนี้จริงหรือเปล่า 

คุณทำความชั่วเรื่องนั้นจริงหรือเปล่า

คงเป็นเรื่องสุดวิสัยที่เราจะบุกบั่นเข้าไปถามคนที่ชอบเราชังให้รู้เรื่องจริงเสียก่อน อย่าว่าแต่ถามให้หมดทุกคนเลย เพียงแค่คนเดียวก็ยากมาก

สมมุติว่าสามารถถามได้จริงๆ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะได้ความจริง

อาจไปเจอผู้ร้ายปากแข็ง 

ทำชั่วให้น่าชัง ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ 

หรือไปเจอคนชุบมือเปิบ 

ไม่ได้ทำความดีให้น่าชอบนั่นเลย แต่รับสมอ้างว่าทำ

เอาละ ไม่ถามเจ้าตัวเพราะกลัวโกหก

สมมุติว่าใช้วิธีสืบหาข้อมูลเอาเอง เหมือนกับที่เราส่วนมากนิยมทำกัน

วิ่งตามข่าวบ้าง ข่าววิ่งมาชนเองบ้าง

เราก็จะเจอข่าวกองมหึมา เท็จบ้าง จริงบ้าง 

การจะคัดกรองหาความจริงก็จะไม่ต่างกับคุ้ยกองขยะหาทอง

นี่ยังไม่นับ “กระแส” ที่มีผู้จงใจสร้างขึ้นเพื่อจูงใจให้ชอบคนนั้น ให้ชังคนโน้น 

เหมือนไวรัสที่แฝงมากับกองขยะข่าว

——————

จะเห็นได้ว่า ในท่ามกลางกระแสสังคม การชอบหรือชังใครที่เกิดขึ้นในใจผู้คนนั้น โอกาสที่จะถูกต้องตรงกับความเป็นจริง กล่าวได้ว่าแทบเป็นศูนย์

วิธีป้องกันตัวเบื้องต้นที่ผมปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ก็คือ –

๑ ไม่ร่วมวงนินทาใครถ้ายังไม่รู้ความจริงจากปากของคนที่ถูกนินทา

๒ แม้รู้ความจริง ก็หลีกเลี่ยงที่จะร่วมวงนินทา ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะตั้งวงเอง

คนที่ทำผิดจริง ถูกพิพากษาลงโทษ เป็นคนที่ควรสงสาร

แต่คนที่ถูกพิพากษาลงโทษโดยไม่มีโอกาสให้การ เป็นคนที่น่าสงสารกว่า

๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *