พระสงฆ์ถือตาล (บาลีวันละคำ 4,656)

พระสงฆ์ถือตาล
อย่าเกณฑ์ให้คนอ่านต้องเข้าใจเอาเอง
บาลีวันละคำวันนี้เขียนด้วยมีอารมณ์ขันเป็นต้นเหตุ กล่าวคือ ผู้เขียนบาลีวันละคำอ่านโพสต์ของญาติมิตรท่านหนึ่ง พบข้อความตอนหนึ่งเป็นดังนี้ –
… พระสงฆ์ถือตาล ปัตรเวลาจะไปแสดงธรรม …
คำที่ทำให้เกิดอารมณ์ขันก็คือ “พระสงฆ์ถือตาล”
ข้อความที่ถูกต้องคือ –
… พระสงฆ์ถือตาลปัตรเวลาจะไปแสดงธรรม …
คำว่า “ตาลปัตร” อ่านว่า ตา-ละ-ปัด ประกอบด้วยคำว่า ตาล + ปัตร
(๑) “ตาล”
บาลีอ่านว่า ตา-ละ รากศัพท์มาจาก ตลฺ (ธาตุ = ตั้งอยู่) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ยืดเสียง (ทีฆะ) อะ ที่ ต-(ลฺ) เป็น อา (ตลฺ > ตาล)
: ตลฺ + ณ = ตลณ > ตล > ตาล แปลตามศัพท์ว่า “ต้นไม้ที่ตั้งอยู่” (คือยืนต้นคล้ายกับว่าตั้งไว้)
“ตาล” ที่คุ้นกันในภาษาไทย หมายถึงต้นตาล แต่ในบาลีใช้ในความหมาย 2 อย่าง พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกไว้ดังนี้ –
(1) the palmyra tree (fan palm), Borassus flabelliformis (ต้นตาล, ต้นตาลโตนด)
(2) a strip, stripe, streak (แผ่น, ชิ้น, แถบ, แนว, รอย)
“ตาล” ในสันสกฤตก็ใช้ในความหมายหลายอย่าง แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับต้นตาล สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ 2 ความหมาย คือ –
(1) ตาล : (คุณศัพท์) อันทำด้วยไม้ตาล; made of palm-wood.
(2) ตาล : (คำนาม) ผลตาล; the fruit of palm tree.
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ตาล : (คำนาม) ชื่อปาล์มชนิด Borassus flabellifer L. ในวงศ์ Palmae ใบใหญ่ ดอกแยกเพศ อยู่ต่างต้น ต้นเพศผู้ออกดอกเป็นงวง ต้นเพศเมียออกดอกเป็นช่อเดี่ยว ๆ ผลใหญ่กลมโตเป็นทะลาย ภายในผลมีเมล็ด เรียกว่าเต้า น้ำหวานที่ออกจากงวงของต้นเพศผู้ เรียกว่า น้ำตาลสด ใช้ทำน้ำตาลได้ ตอนหัวของผลอ่อน เรียกว่าหัวตาล ต้มแกงกินได้ เมื่อเต้ายังอ่อน เรียกว่า ลอนตาลหรือตาลเฉาะ เนื้อในนิยมกินสดหรือกินกับนํ้าเชื่อม จาวที่เกิดจากเมล็ดแก่ที่งอกแล้ว เรียกว่า จาวตาล เชื่อมกินได้, ตาลโตนด ก็เรียก; เรียกขนมที่ทำด้วยแป้งผสมนํ้าคั้นจากลูกตาลสุก ว่า ขนมตาล.”
โปรดสังเกตชื่อวิทยาศาสตร์ พจนานุกรมฯ บอกว่า Borassus flabellifer
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกว่า Borassus flabelliformis
ไทยเราเอาคำว่า “ตาล” มาใช้ในภาษาไทยจนกลายเป็นคำไทยอย่างสนิท แต่ที่สำคัญก็คือทำให้คนไทยส่วนมาก โดยเฉพาะคนไทยรุ่นใหม่ ลืมชื่อไทยของไม้ชนิดนี้ไปสนิทเช่นกัน
บาลี “ตาล”
คำไทยเรียก “โตนด” (ตะ-โหฺนด) (มาจากคำเขมรอีกต่อหนึ่ง)
(๒) “ปัตร”
บาลีเป็น “ปตฺต” (ปัด-ตะ) รากศัพท์มาจาก ปตฺ (ธาตุ = ตก) + ต ปัจจัย
: ปตฺ + ต = ปตฺต (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่จะร่วงหล่นโดยไม่นาน” หมายถึง ใบไม้ (a leaf)
“ปตฺต” สันสกฤตเป็น “ปตฺร”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“ปตฺร : (คำนาม) ‘บัตร์’ ใบ, แผ่น; ยานทั่วไป; หางนก; ภู่ศร, ภู่หรือขนนกอันท่านติดไว้ที่ลูกศรหรือลูกดอก; ใบนารล, ‘นารลบัตร์’ ก็เรียก; ใบหนังสือ; ทองใบ; ฯลฯ; ธาตุทั่วไปอันแผ่แล้วเปนแผ่นบาง; จดหมาย; ลายลักษณ์อักษรทั่วไป; a leaf; a vehicle in general; the wing of a bird; the feather of an arrow; the leaf of the Laurus cassia; the leaf of a book, goldleaf &c.; any thin sheet or plate of metal; a letter; any written document.”
ในที่นี้เขียนตามสันสกฤตเป็น “ปัตร”
ตาล + ปตฺต = ตาลปตฺต (ตา-ละ-ปัด-ตะ) แปลว่า “ใบของต้นตาล” > ใบตาล
เขียนแบบสันสกฤตเป็น “ตาลปตฺร”
ใช้ในภาษาไทยเป็น “ตาลปัตร”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ตาลปัตร : (คำนาม) พัดทำด้วยใบตาล มีด้ามยาว สำหรับพระภิกษุถือบังหน้าในพิธีกรรมเช่นในเวลาให้ศีล ต่อมาอนุโลมเรียกพัดที่ทำด้วยผ้าหรือไหมซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงเช่นนั้นว่า ตาลปัตร ด้วย, ตาลิปัตร ก็ว่า. (ส. ตาลปตฺตฺร, ป. ตาลปตฺต).”
อภิปรายขยายความ :
คำว่า “ตาลปัตร” โยงไปหาคำอีก 2 คำ คือ “พัดยศ” และ “พัดรอง”
ผู้เขียนบาลีวันละคำขอวาดภาพเพื่อให้เห็นความเป็นมาอย่างง่าย ๆ ดังนี้ –
๑ เวลาอากาศร้อน คนทั่วไปทำพัดใช้โบกบรรเทาความร้อน วัสดุที่เหมาะแก่การใช้งานที่สุดก็คือ ใบตาล เพราะมีลักษณะแผ่แบน ใช้โบกให้เกิดลมได้ดี และสามารถหาได้ง่ายในพื้นถิ่น
๒ เมื่อพระไปพบญาติโยมและอยู่สนทนากัน โยมก็ถวายพัดให้พระโบกบรรเทาร้อน เทียบกับสมัยนี้ก็คือเปิดพัดลมเปิดแอร์ เดิมคงถวายให้พระใช้เฉพาะในที่ที่พบปะพูดคุยกัน พอลาไปพระก็คืนพัดให้โยม ต่อมาโยมเห็นว่าพระพอจะถือไปมาได้สะดวกจึงถวายให้ท่านไปเลย พระก็ถือติดมือไปไหนมาไหนเป็นการฉลองศรัทธา ทั้งเพื่อใช้ประโยชน์พัดโบกบรรเทาร้อนไปด้วย กลายเป็นเหมือนอติเรกบริขารที่เพิ่มขึ้น
๓ แม้พระไปในงานพิธีการก็ถือพัดไปด้วย เวลาให้ศีลก็ถือพัดติดมืออยู่ อาจใช้ปิดปากหรือบังหน้าในบางจังหวะตามลักษณะธรรมชาติของกิริยาอาการที่เคลื่อนไหว นี่คือต้นกำเนิดของการตั้งพัดบังหน้าในเวลาให้ศีลเป็นต้น
๔ การถือพัดใบตาลไปไหนมาไหนเป็นที่นิยมจนกลายเป็นธรรมเนียมของพระ
๕ ต่อมาเมื่อพัดใบตาลพัฒนารูปแบบจากใบตาลเป็นผ้า แต่ก็ยังคงชื่อเดิมไว้ คือเรียกว่า “ตาลปัตร” (ใบตาล) และแม้จะไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการพัดโบกบรรเทาร้อน แต่ก็ถือเป็นธรรมเนียมเวลาพระไปงานพิธีต้องมีพัด คือ “ตาลปัตร” ไปด้วย บางขั้นตอนที่ทำพิธี เช่นให้ศีลและอนุโมทนา ก็ถือพัด มีคำเรียกว่า “ตั้งพัด” ไว้ตรงหน้าด้วย ทั้งหมดนี้มีต้นเหตุมาจากโยมถวายพัดให้พระ และพระถือพัดติดมืออยู่แทบตลอดเวลามาแต่เดิมนั่นเอง
๖ เมื่อตาลปัตรกลายเป็นบริขารพิเศษประจำตัวพระ จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่ใช้ตาลปัตรเป็นสัญลักษณ์แสดงความยกย่องโดยการออกแบบรูปลักษณ์ให้ดูงามตามนิยม ใช้สีและรายละเอียดบางอย่างเป็นเครื่องบ่งบอกถึงระดับความยกย่องที่แตกต่างกันออกไป อันเป็นที่มาของลักษณะ “พัดยศ” ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่ภิกษุสามเณรที่สอบเปรียญธรรมได้ตั้งแต่ 3 ประโยคขึ้นไป และแก่พระภิกษุที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน
ข้อสันนิษฐานทั้งหมดนี้ สามารถแย้งค้านหรือเห็นต่างได้ทุกประเด็น ไม่จำเป็นจะต้องถูกต้องตามนี้
เมื่อมี “พัดยศ” เกิดขึ้น และมีระเบียบให้พระสงฆ์ใช้พัดยศในงานที่เกี่ยวกับพระราชพิธี ก็มีคำว่า “พัดรอง” เกิดตามมา
“พัดรอง” หมายถึงตาลปัตรที่ใช้ในงานพิธีทั่วไป แต่นิยมเรียกเช่นนี้เมื่อพูดเทียบกับ “พัดยศ” กล่าวคืองานบางอย่างที่ปกติกำหนดให้ใช้พัดยศ แต่บางกรณีอาจมีกำหนดการหรือตกลงกันว่าไม่ต้องใช้พัดยศ แต่ให้ใช้พัดธรรมดา กรณีเช่นนี้ก็จะพูดกันว่า ใช้ “พัดรอง” ไม่ต้องใช้ “พัดยศ” ก็คือในงานนั้นพระสงฆ์ใช้ตาลปัตรธรรมดานั่นเอง
แถม :
คำว่า “ตาลปัตร” ต้องเขียนติดกันเพราะเป็นคำเดียวกัน ถ้าไปเว้นวรรคเป็น –
… พระสงฆ์ถือตาล ปัตรเวลาจะไปแสดงธรรม …
ดังที่ยกมาให้ดูข้างต้น จึงกลายเป็นคนละคำ จาก “พระสงฆ์ถือตาลปัตร” กลายเป็น “พระสงฆ์ถือตาล” เป็นคำตลกไปโดยไม่ตั้งใจ
ประเด็นอยู่ตรงที่-คนสมัยนี้เขียนหนังสือโดยไม่ระมัดระวังเรื่องวรรคตอนกันมากขึ้น
ภาษาไทยเรานั้นถ้าเว้นวรรคผิด ความหมายก็เพี้ยน ตัวอย่างที่ผู้เขียนบาลีวันละคำจำติดใจ คือ –
“ยานี้กินแล้วแข็งแรงไม่มีโรคภัยเบียดเบียน”
ถ้าเว้นวรรคเป็น –
“ยานี้กินแล้วแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน”
ความหมายก็ถูกต้องตามเจตนาที่จะพูด
แต่ถ้าเว้นวรรคเป็น –
“ยานี้กินแล้วแข็ง แรงไม่มี โรคภัยเบียดเบียน”
ความหมายก็เพี้ยนไปคนละเรื่อง
จึงใคร่ขอร้อง-ร้องขอมายังเพื่อนไทยทั้งหลายว่า ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่เราเขียนขึ้นเองหรือข้อความที่คัดลอกมาจากไหนก็ตาม โปรดระมัดระวังเรื่องวรรคตอนให้จงหนักไว้เสมอ
ขออนุญาตพูดเป็นภาษาปากคำหนักเพื่อให้กระทบใจว่า อย่าชุ่ย อย่ามักง่าย
แม้แต่ข้อความของผู้เขียนบาลีวันละคำนี่เอง ถ้าท่านพบว่าเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้องตรงไหนบ้าง จะกรุณาใช้คำหนักนั้นเตือนให้กระทบใจบ้าง ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เรามีตาคู่เดียว
: ถ้ามีเพื่อนช่วยแลช่วยเหลียว
: ตาเราก็จะมีเป็นร้อยคู่พันคู่
#บาลีวันละคำ (4,656)
12-3-68
…………………………….
…………………………….