นรีเวชวิทยา (บาลีวันละคำ 4,706)

นรีเวชวิทยา
วิชาอะไร
อ่านว่า นะ-รี-เวด-วิด-ทะ-ยา
แยกศัพท์เป็น นรี + เวช + วิทยา
(๑) “นรี”
อ่านว่า นะ-รี รากศัพท์มาจาก นร + อี ปัจจัย
(ก) “นร” บาลีอ่านว่า นะ-ระ รากศัพท์มาจาก –
(1) นี (ธาตุ = นำไป) + อร ปัจจัย, “ลบสระหน้า” คือลบ อี ที่ นี (นี > น)
: นี > น + อร = นร แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้นำไป” (2) “ผู้นำไปสู่ความเป็นใหญ่”
(2) นรฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป; นำไป) + อ (อะ) ปัจจัย
: นรฺ + อ = นร แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้ดำเนินไปสู่ภพน้อยภพใหญ่” (2) “ผู้อันกรรมของตนนำไป” (3) “ผู้ถูกนำไปตามกรรมของตน”
“นร” (ปุงลิงค์) ความหมายที่เข้าใจกันคือ “คน” (man) (ปกติไม่จำกัดว่าหญิงหรือชาย)
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ขยายความไว้ว่า in poetry esp. a brave, strong, heroic man (โดยเฉพาะในบทร้อยกรอง หมายถึงคนผู้กล้าหาญ, แข็งแกร่ง, วีรบุรุษ)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
“นร– : (คำนาม) คน, ชาย, เพศหญิงใช้ว่า นรี หรือ นารี, นิยมใช้เป็นคําหน้าสมาส เช่น นรเทพ นรสิงห์. (ป., ส.).”
(ข) นร + อี ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: นร + อี = นรี แปลว่า “คนผู้เป็นหญิง” หมายถึง ผู้หญิง, ภรรยา, นารี (woman, wife, female)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
“นรี : (คำแบบ) (คำนาม) นาง. (ส.).”
(๒) “เวช”
บาลีเป็น “เวชฺช” อ่านว่า เวด-ชะ รากศัพท์มาจาก –
(1) วิชฺชา ( = ความรู้ทางยา) + ณ ปัจจัย, แผลง อิ ที่ วิชฺ-เป็น เอ, ลบ ณ และลบสระท้ายคำหน้า : วิชฺชา > วิชฺช
: วิชฺชา + ณ = วิชฺชา > เวชฺชา > เวชฺช แปลตามศัพท์ว่า “ผู้รู้วิชาทางยา”
(2) วิทฺ (ธาตุ = รู้) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณ, แผลง อิ ที่ วิ-เป็น เอ, แปลง ทฺย เป็น ชฺช
: วิทฺ + ณฺย = วิทฺย > เวทฺย > เวชฺช แปลตามศัพท์ว่า “ผู้รู้การเยียวยา”
“เวชฺช” (ปุงลิงค์) หมายถึง หมอรักษาโรค
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “เวชฺช” ว่า a physician, doctor, medical man, surgeon (หมอ, แพทย์, หมอยา, ศัลยแพทย์)
“เวชฺช” สันสกฤตเป็น “ไวทฺย” สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –
“ไวทฺย : (คำนาม) ‘แพทย์’ หมอยา, หมอรักษาโรค; ผู้คงแก่เรียน; ผู้คงแก่เรียนในพระเวท; a physician, a learned man; one well versed in Vedas;- (คำวิเศษณ์) อันเป็นสัมพันธินแก่ยา; medical relating to medicine.”
“เวชฺช” ใช้ในภาษาไทยว่า “เวช” (มักเป็นส่วนท้ายของคำ) และ “เวช-” (มีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เวช, เวช– : (คำนาม) หมอรักษาโรค. (ป. เวชฺช; ส. ไวทฺย).”
ภาษาไทยมีคำว่า “แพทย์” อีกคำหนึ่ง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“แพทย-, แพทย์ : (คำนาม) หมอรักษาโรค. (ส. ไวทฺย).”
พจนานุกรมฯ บอกว่า “แพทย์” สันสกฤตเป็น “ไวทฺย”
“ไวทฺย” ในสันสกฤตก็ตรงกับ “เวชฺช” ในบาลี ดังนั้น “เวช” กับ “แพทย์” ก็เป็นคำเดียวกัน
โปรดสังเกตว่า ที่คำว่า “เวช” พจนานุกรมฯ บอกไว้ในวงเล็บว่า บาลี “เวชฺช” สันสกฤต “ไวทฺย”
แต่ที่คำว่า “แพทย์” พจนานุกรมฯ บอกไว้ในวงเล็บว่า สันสกฤต “ไวทฺย” แต่ไม่ได้บอกว่า บาลี “เวชฺช”
นี่เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้ใช้พจนานุกรมควรสังเกตไว้
(๓) “วิทยา”
บาลีเป็น “วิชฺชา” รากศัพท์มาจาก วิทฺ (ธาตุ = รู้) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณฺ, แปลง ทฺย (คือ (วิ)-ทฺ + (ณฺ)-ย) เป็น ชฺช + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: วิทฺ + ณฺย = วิทฺณย > วิทฺย > วิชฺช + อา = วิชฺชา แปลตามศัพท์ว่า “ธรรมชาติที่รู้” หรือ “ตัวรู้” หมายถึง ความรู้, ปัญญาหยั่งรู้ (knowledge; transcendental wisdom)
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “วิชฺชา” ว่า science, study, higher knowledge (วิทยาศาสตร์, การศึกษา, ความรู้ชั้นสูง)
บาลี “วิชฺชา” สันสกฤตเป็น “วิทฺยา”
โปรดสังเกตว่า ในขั้นตอนการกลายรูปของบาลี เป็น “วิทฺย” ก่อนแล้วจึงเป็น “วิชฺช”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –
“วิทฺยา : (คำนาม) วิทยา, พุทธิ; ศึกษา; ศาสตร์; พระทุรคาเทวี; ต้นไม้; มายาคุฏิกา; ยาเม็ดวิเศษหรือลูกอมอันสำเร็จด้วยเวทมนตร์ ใส่ปากบุทคลเข้าไปอาจจะบันดาลให้บุทคลขึ้นสวรรค์หรือเหาะได้; knowledge; learning; science; the goddess Durgā; a tree; a magical pill, by putting which in to the mouth a person has the power of ascending to heaven or traversing the air.”
อย่างไรก็ตาม ในคัมภีร์บาลี คำว่า “วิชฺชา” มักใช้ในความหมายเฉพาะ คือหมายถึงญาณปัญญาที่บรรลุได้ด้วยการฝึกจิต
“วิชฺชา” ถ้าคงรูปบาลี ในภาษาไทยใช้ว่า “วิชา” (ตัด ช ออกตัวหนึ่ง)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“วิชา : (คำนาม) ความรู้, ความรู้ที่ได้ด้วยการเล่าเรียนหรือฝึกฝน, เช่น วิชาภาษาไทย วิชาช่าง วิชาการฝีมือ. (ป. วิชฺชา; ส. วิทฺยา).”
“วิชา” ตามความหมายในภาษาไทย ตรงกับคำว่า “สิปฺป” (สิบ-ปะ) ที่เราเอามาใช้ว่า “ศิลปะ”
“สิปฺป” ในบาลีหมายถึง ความสามารถที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นผลสำเร็จได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ทำได้ทำเป็นไม่ว่าจะในเรื่องอะไร นั่นแหละคือ “สิปฺป–ศิลปะ” หรือ “วิชา” ตามที่เข้าใจกันในภาษาไทย
“วิทยา” ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“วิทยา : (คำนาม) ความรู้, มักใช้ประกอบกับคําอื่น เช่น วิทยากร วิทยาคาร จิตวิทยา สังคมวิทยา. (ส.).”
การประสมคำ :
๑ นรี + เวช = นรีเวช (นะ-รี-เวด) แปลว่า “หมอรักษาโรคเกี่ยวกับสตรี”
คำว่า “นรีเวช” ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
๒ นรีเวช + วิทยา = นรีเวชวิทยา (นะ-รี-เวด-วิด-ทะ-ยา) แปลว่า “วิชาของหมอรักษาโรคเกี่ยวกับสตรี”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“นรีเวชวิทยา : (คำนาม) วิชาว่าด้วยโรคเกี่ยวกับระบบการสืบพันธุ์ของสตรี.”
ขยายความ :
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (อ่านเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 เวลา 20:30 น.)ไม่พบคำว่า “นรีเวชวิทยา” แต่มีคำว่า “นรีเวชศาสตร์” บอกไว้ ดังนี้ –
…………..
นรีเวชศาสตร์ หรือ นรีเวชวิทยา หรือ วิทยาเพศหญิง (อังกฤษ: gynaecology, gynecology) หมายถึงศัลยศาสตร์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง เช่น มดลูก ช่องคลอดและรังไข่ แพทย์นรีเวชวิทยาส่วนมากมักเป็นสูติแพทย์ด้วย ดูที่ สูตินรีเวชวิทยา (Obstetrics and gynaecology)
…………..
ตามไปดูที่คำว่า “สูตินรีเวชวิทยา” บอกไว้ ดังนี้ –
…………..
สูตินรีเวชวิทยา (อังกฤษ: Obstetrics and Gynecology [หรือ Gynaecology]) หรือที่มักย่อว่า OB/GYN, O&G หรือ Obs & Gynae เป็นวิชาศัลยศาสตร์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิง เป็นสาขาวิชาที่รวมเอาการแพทย์เฉพาะทาง 2 สาขาวิชาคือ สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาเข้าด้วยกัน มักเปิดสอนร่วมกันในหลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน (หลังจบการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต) การฝึกวิชาสูตินรีเวชวิทยาเกี่ยวข้องกับการจัดการพยาธิวิทยาคลินิกของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง และการดูแลผู้ป่วยทั้งที่อยู่ในระยะตั้งครรภ์และไม่ได้ตั้งครรภ์
…………..
หมายเหตุ: ข้อความที่ยกมาจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น หากจะนำไปอ้างอิงโปรดตรวจสอบให้ถูกต้องก่อน
…………..
ดูก่อนภราดา!
ท่านจะเข้าใจความข้อนี้เป็นไฉน?
: ท่านว่าสตรีสามารถประพฤติพรหมจรรย์จนบรรลุธรรมได้
: แต่ท่านก็ยืนยันว่า อิตฺถี มลํ พฺรหฺมจริยสฺส = สตรีเป็นมลทินแห่งพรหมจรรย์
#บาลีวันละคำ (4,706)
1-5-68
…………………………….
…………………………….