กุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ (บาลีวันละคำ 4,730)

กุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ
ไม่ได้เก็บในพจนานุกรม แต่นิยมพูดกัน
“กุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ” แยกเป็น “กุศลจริยา” คำหนึ่ง “สัมมาปฏิบัติ” อีกคำหนึ่ง
“กุศล” มีในพจนานุกรม
“จริยา” มีในพจนานุกรม
แต่ “กุศลจริยา” ไม่ได้เก็บในพจนานุกรม
“สัมมา” มีในพจนานุกรม
“ปฏิบัติ” มีในพจนานุกรม
แต่ “สัมมาปฏิบัติ” ไม่ได้เก็บในพจนานุกรม
พจนานุกรมที่ว่านี้ หมายถึงพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
หาความรู้แต่ละคำ :
(๑) “กุศล” ( –ศล ศ ศาลา)
บาลีเป็น “กุสล” ( –สล ส เสือ) อ่านว่า กุ-สะ-ละ รากศัพท์มาจาก –
(1) กุส (กิเลส; หญ้าคา; โรค) + ลุ (ธาตุ = ตัด) + อ (อะ) ปัจจัย, “ลบสระหน้า” คือลบ อุ ที่ ลุ (ลุ > ล)
: กุส + ลุ = กุสลุ > กุสล + อ = กุสล แปลตามศัพท์ว่า (1) “กรรมดีที่ตัดกิเลสอันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน” (2) “กรรมที่ตัดบาปธรรมได้เหมือนหญ้าคา” (“ธรรมที่ตัดความชั่วอันเป็นดุจหญ้าคา”) (3) “ภาวะที่ตัดโรคอันนอนเนื่องอยู่ในร่างกายออกไปได้” (ตามข้อ (3) นี้หมายถึงความไม่มีโรค)
(2) กุ (แทนศัพท์ “กุจฺฉิต” = น่าเกลียด, น่ารังเกียจ) + สลฺ (ธาตุ = หวั่นไหว; ปิด, ป้องกัน) + อ (อะ) ปัจจัย
: กุ + สลฺ = กุสล + อ = กุสล แปลตามศัพท์ว่า (1) “กรรมที่ยังบาปธรรมอันน่ารังเกียจให้หวั่นไหว” (2) “กรรมเป็นเครื่องปิดประตูอบายที่น่ารังเกียจ”
(3) กุส (ญาณ, ความรู้) + ลา (ธาตุ = ถือเอา) + อ (อะ) ปัจจัย, “ลบสระหน้า” คือลบ อา ที่ ลา (ลา > ล)
: กุส + ลา = กุสลา > กุสล + อ = กุสล แปลตามศัพท์ว่า (1) “กรรมที่พึงถือเอาได้ด้วยญาณที่ทำให้บาปเบาบาง” (“ความรู้ที่ทำความชั่วร้ายให้เบาบาง”) (2) “ผู้ถือเอากิจทั้งปวงด้วยปัญญา”
“กุสล” ถ้าเป็นคำนาม (นปุงสกลิงค์) หมายถึง ความดีงาม, กรรมดี, สิ่งที่ดี, กุศลกรรม, บุญ (good thing, good deeds, virtue, merit, good consciousness)
“กุสล” ถ้าเป็นคุณศัพท์ มีความหมายว่า ฉลาด, เฉียบแหลม, สันทัด, ชำนาญ; ดีงาม, ถูกต้อง, เป็นกุศล (clever, skilful, expert; good, right, meritorious)
บาลี “กุสล” เราใช้อิงสันสกฤตเป็น “กุศล”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“กุศล : (คำนาม) สิ่งที่ดีที่ชอบ, บุญ. (คำวิเศษณ์) ฉลาด. (ส.; ป. กุสล).”
(๒) “จริยา”
บาลีอ่านว่า จะ-ริ-ยา รากศัพท์มาจาก จรฺ (ธาตุ = ประพฤติ, ดำเนินไป) + อิย ปัจจัย + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: จรฺ + อิย = จริย + อา = จริยา
อีกนัยหนึ่ง จรฺ (ธาตุ = ประพฤติ, ดำเนินไป) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณฺ (ณฺย > ย), ลง อิ อาคมหน้า ย + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: จรฺ + ณฺย = จรณฺย > จรย > จริย + อา = จริยา
“จริยา” เป็นอิตถีลิงค์ และพึงทราบว่าศัพท์นี้ไม่ลง อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์ คงได้รูปเป็น “จริย” (จะ-ริ-ยะ) (นปุงสกลิงค์) ก็มี
จริย, จริยา แปลตามศัพท์ว่า “-ที่ควรประพฤติ” หมายถึง ความประพฤติ, กิริยาที่ควรประพฤติ, การดำเนินชีวิต (conduct, behaviour, state of life)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “จริย” และ “จริยา” บอกไว้ดังนี้ –
(1) จริย– : (คำนาม) ความประพฤติ, กิริยาที่ควรประพฤติ, ใช้ในคำสมาส เช่น จริยศึกษา. (ป.).
(2) จริยา : (คำนาม) ความประพฤติ, กิริยาที่ควรประพฤติ, ใช้ในคําสมาส เช่น ธรรมจริยา.
(๓) “สัมมา”
เขียนแบบบาลีเป็น “สมฺมา” อ่านว่า สำ-มา รากศัพท์มาจาก สมุ (ธาตุ = สงบ) + อ (อะ) ปัจจัย, ลบสระท้ายธาตุ, ซ้อน มฺ, ลง อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: สมุ > สม + ม = สมฺม + อ = สมฺม + อา = สมฺมา แปลตามศัพท์ว่า “เหตุเป็นเครื่องสงบ”
หมายเหตุ :
“สมฺมา” ตามรากศัพท์นี้ หมายถึง สลักของแอก (a pin of the yoke)
“สมฺมา” ที่กำลังกล่าวถึงนี้น่าจะมีรากศัพท์เดียวกัน
…………..
“สมฺมา” เป็นคำที่ภาษาไวยากรณ์เรียกว่า “อัพยยศัพท์” คือคำที่คงรูป ไม่เปลี่ยนรูปไปตามวิธีแจกวิภัตติ แต่อาจเปลี่ยนตามวิธีสนธิได้บ้าง และทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ ขยายคำอื่น ไม่ใช้ตามลำพัง
“สมฺมา > สัมมา” แปลว่า โดยทั่วถึง, โดยสมควร, โดยถูกต้อง, โดยชอบ, ในทางดี, ตามสมควร, ดีที่สุด, โดยสมบูรณ์ (thoroughly, properly, rightly; in the right way, as it ought to be, best, perfectly)
คำที่ตรงกันข้ามกับ “สัมมา” ก็คือ “มิจฉา” (มิด-ฉา) แปลว่า ผิด, อย่างผิดๆ, ด้วยวิธีผิด, ไม่ถูก, เก๊, หลอกๆ (wrongly, in a wrong way, wrong–, false)
(๔) “ปฏิบัติ”
เขียนแบบบาลีเป็น “ปฏิปตฺติ” อ่านว่า ปะ-ติ-ปัด-ติ รากศัพท์มาจาก ปฏิ (คำอุปสรรค = เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ) + ปทฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, บรรลุ) + ติ ปัจจัย, แปลงที่สุดธาตุเป็น ตฺ (ปทฺ > ปตฺ)
: ปฏิ + ปทฺ = ปฏิปทฺ + ติ = ปฏิปทฺติ > ปฏิปตฺติ (อิตถีลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ความถึงเฉพาะ” “ที่ไปเฉพาะ” หมายถึง ทาง, วิธี, การปฏิบัติ, วิธีปฏิบัติ, การกระทำ, พฤติการณ์หรือความประพฤติ, ตัวอย่าง (way, method, conduct, practice, performance, behaviour, example)
“ปฏิปตฺติ” ในภาษาไทยใช้ว่า “ปฏิบัติ” (ตัด ต ออกตัวหนึ่ง และแผลง ป ปลา เป็น บ ใบไม้) อ่านว่า ปะ-ติ-บัด
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า –
“ปฏิบัติ : (คำกริยา) ดำเนินการไปตามระเบียบแบบแผน เช่น ปฏิบัติราชการ, กระทำเพื่อให้เกิดความชำนาญ เช่น ภาคปฏิบัติ; กระทำตาม เช่น ปฏิบัติตามสัญญา; ประพฤติ เช่น ปฏิบัติสมณธรรม ปฏิบัติต่อกัน; ปรนนิบัติรับใช้ เช่น ปฏิบัติบิดามารดา ปฏิบัติครูบาอาจารย์. (ป. ปฏิปตฺติ).”
ขยายความ :
๑ กุศล + จริยา = กุศลจริยา อ่านว่า กุ-สน-จะ-ริ-ยา แปลว่า การประพฤติในสิ่งที่ดีงาม, การทำพูดคิดแต่สิ่งที่ดีเรื่องที่ดี
๒ สัมมา + ปฏิบัติ = สัมมาปฏิบัติ อ่านว่า สำ-มา-ปะ-ติ-บัด แปลว่า การปฏิบัติที่ถูกต้อง, การประพฤติตัววางตนอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องดีงาม
“กุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ” เป็นคำที่พิธีกรงานบุญนิยมพูดกัน โดยเฉพาะเมื่อจะยกย่องชื่นชมท่านผู้ใดใครผู้หนึ่งว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม ก็จะบอกว่า ท่านผู้นั้นเป็นผู้ดำรงตนอยู่ใน “กุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ”
หรือกรณีที่กล่าวถึงผู้ที่ล่วงลับไป เมื่อจะแสดงความปรารถนาดี ก็จะบอกว่า ขอให้ “กุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ” ที่ท่านผู้วายชนม์ได้บำเพ็ญมาจงเป็นปัจจัยหนุนนำส่งให้ได้เสวยสุขในสัมปรายภพด้วยเทอญ
คำเพราะ ๆ งาม ๆ เช่นนี้เกิดจากการที่มีผู้คิดประดิษฐ์ขึ้น แต่เมื่อพูดกันแพร่หลายไปแล้ว แม้อยากจะขอบคุณผู้เป็นต้นคิด ก็บอกไม่ได้ว่าท่านผู้ใดใครคนไหนเป็นผู้คิดขึ้นเป็นคนแรก ลักษณาการเช่นนี้เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งในกระบวนการกำเนิดของถ้อยคำสำนวน กล่าวคือผู้ให้กำเนิดมักเป็นบุคคลนิรนาม
ผู้เขียนบาลีวันละคำขอน้อมคารวะท่านผู้คิดประดิษฐ์คำ “กุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ” มา ณ ที่นี้
…………..
ดูก่อนภราดา!
: พูดเป็น ที่ร้อนก็เย็นทันที
: พูดไม่เป็น ที่เย็นก็ร้อนทันที
#บาลีวันละคำ (4,730)
25-5-68
…………………………….
…………………………….
