อุปปัชชเวทนียกรรม (บาลีวันละคำ 4,741)

อุปปัชชเวทนียกรรม
ชาติหน้าเจอแน่
อ่านว่า อุ-ปะ-ปัด-ชะ-เว-ทะ-นี-ยะ-กำ
แยกศัพท์ตามที่ตาเห็นเป็น อุปปัชช + เวทนีย + กรรม
(๑) “อุปปัชช”
เขียนแบบบาลีเป็น “อุปปชฺช” อ่านว่า อุ-ปะ-ปัด-ชะ รากศัพท์มาจาก อุป (คำอุปสรรค = เข้าไป, ใกล้, มั่น) + ปทฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + ณย ปัจจัย, ลบ ณ, (ณฺย > ย), แปลง ทฺย (คือ ทฺ ที่สุดธาตุกับ ย ที่ลบ ณฺ แล้ว) เป็น ชฺช
: อุป + ปทฺ = อุปปทฺ + ณฺย = อุปปทฺณฺย > อุปปทฺย > อุปปชฺช แปลตามศัพท์ว่า “-อันบุคคลพึงเข้าถึง”
พึงเทียบความหมายของ “อุปปชฺช” กับรูปกิริยาอาขยาตซึ่งเป็น “อุปปชฺชติ” (อุ-ปะ-ปัด-ชะ-ติ) แปลว่า เข้าถึง, กลับมาเกิด (to get to, be reborn in); เริ่มต้น, เกิดขึ้น (to originate, rise)
(๒) เวทนีย
อ่านว่า เว-ทะ-นี-ยะ รากศัพท์มาจาก วิทฺ (ธาตุ = รู้, รู้อารมณ์) + อนีย ปัจจัย, แผลง อิ ที่ วิทฺ เป็น เอ (วิทฺ > เวท)
: วิทฺ + อนีย = วิทนีย > เวทนีย แปลตามศัพท์ว่า “-อันบุคคลพึงเสวยรสอารมณ์” หมายถึง มีความรู้สึก, กอปรด้วยเวทนา (having feeling, endowed with sensation)
(๓) “กรรม”
บาลีเป็น “กมฺม” อ่านว่า กำ-มะ รากศัพท์มาจาก กรฺ (ธาตุ = กระทำ) + รมฺม (รำ-มะ, ปัจจัย) ลบ รฺ ที่สุดธาตุและ ร ที่ต้นปัจจัย
: กร > ก + รมฺม > มฺม : ก + มฺม = กมฺม
“กมฺม” แปลว่า การกระทำ, สิ่งที่ทำ, การงาน (the doing, deed, work) นิยมพูดทับศัพท์ว่า “กรรม”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
(1) กรรม ๑, กรรม– ๑ : (คำนาม) (๑) การ, การกระทำ, การงาน, กิจ, เช่น พลีกรรม ต่างกรรมต่างวาระ, เป็นการดีก็ได้ ชั่วก็ได้ เช่น กุศลกรรม อกุศลกรรม.(๒) การกระทำที่ส่งผลร้ายมายังปัจจุบัน หรือซึ่งจะส่งผลร้ายต่อไปในอนาคต เช่น บัดนี้กรรมตามทันแล้ว ระวังกรรมจะตามทันนะ.(๓) บาป, เคราะห์, เช่น คนมีกรรม กรรมของฉันแท้ ๆ.(๔) ความตาย ในคำว่า ถึงแก่กรรม.
(2) กรรม ๒, กรรม– ๒ : (คำที่ใช้ในไวยากรณ์) (คำนาม) ผู้ถูกกระทำ เช่น คนกินข้าว ข้าว เป็นกรรมของกริยา กิน.
ในที่นี้ “กรรม” ใช้ในความหมายตามข้อ (1) คือหมายถึง การ, การกระทำ, การงาน, กิจ
การประสมคำ :
๑ อุปปชฺช + เวทนีย = อุปปชฺชเวทนีย (อุ-ปะ-ปัด-ชะ-เว-ทะ-นี-ยะ) แปลว่า “อันจะพึงเสวยผลในภพที่จะเข้าถึง”
๒ อุปปชฺชเวทนีย + กมฺม = อุปปชฺชเวทนียกมฺม (อุ-ปะ-ปัด-ชะ-เว-ทะ-นี-ยะ-กำ-มะ) แปลว่า “กรรมอันจะพึงเสวยผลในภพที่จะเข้าถึง” หมายถึง กรรมที่จะให้ผลในชาติหน้า
ถ้าเทียบคำ 3 คำในชุดนี้ก็จะเห็นความหมายชัดเจนขึ้น คือ –
ทิฏฺฐธมฺมเวทนียกมฺม = กรรมให้ผลในชาตินี้
อุปปชฺชเวทนียกมฺม = กรรมให้ผลในชาติหน้า คือต่อจากชาตินี้
อปราปริยเวทนียกมฺม = กรรมให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป คือถัดจากชาติหน้าไปอีก
“อุปปชฺชเวทนียกมฺม” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อุปปัชชเวทนียกรรม” (อุ-ปะ-ปัด-ชะ-เว-ทะ-นี-ยะ-กำ) คำนี้ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
ขยายความ :
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกไว้ดังนี้ –
…………..
อุปปัชชเวทนียกรรม : กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือ ในภพถัดไป (ข้อ ๒ ในกรรม ๑๒)
…………..
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ข้อ [338] กรรม 12 แสดงไว้ดังนี้ –
…………..
กรรม 12 (การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม, ในที่นี้หมายถึงกรรมประเภทต่างๆ พร้อมทั้งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผลของกรรมเหล่านั้น — Kamma: karma; kamma; action; volitional action)
หมวดที่ 1 ว่าโดยปากกาล คือ จำแนกตามเวลาที่ให้ผล (classification according to the time of ripening or taking effect)
1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในปัจจุบันคือในภพนี้ — Diṭṭhadhamma-vedanīyakamma: kamma to be experienced here and now; immediately effective kamma)
2. อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิดคือในภพหน้า — Upapajja-vedanīyakamma: kamma to be experienced on rebirth; kamma ripening in the next life)
3. อปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพต่อ ๆ ไป — Aparāpariya-vedanīya-kamma: kamma to be experienced in some subsequent lives; indefinitely effective kamma)
4. อโหสิกรรม (กรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีก — Ahosi-kamma: lapsed or defunct kamma)
หมวดที่ 2 ว่าโดยกิจ คือ จำแนกการให้ผลตามหน้าที่ (classification according to function)
5. ชนกกรรม (กรรมแต่งให้เกิด, กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด — Janaka-kamma: productive kamma; reproductive kamma)
6. อุปัตถัมภกกรรม (กรรมสนับสนุน, กรรมที่เข้าช่วยสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม — Upatthambhaka-kamma: supportive kamma; consolidating kamma)
7. อุปปีฬกกรรม (กรรมบีบคั้น, กรรมที่มาให้ผล บีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกรรมนั้น ให้แปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิให้เป็นไปได้นาน — Upapīḷaka-kamma: obstructive kamma; frustrating kamma)
8. อุปฆาตกกรรม (กรรมตัดรอน, กรรมที่แรง ฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมเข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมสองอย่างนั้น ให้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดในตระกูลสูง มั่งคั่ง แต่อายุสั้น เป็นต้น — Upaghātaka-kamma: destructive kamma; supplanting kamma)
หมวดที่ 3 ว่าโดยปากทานปริยาย คือ จำแนกตามความยักเยื้องหรือลำดับความแรงในการให้ผล (classification according to the order of ripening)
9. ครุกกรรม (กรรมหนัก ให้ผลก่อน ได้แก่ สมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม — Garuka-kamma: weighty kamma)
10. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม (กรรมทำมากหรือกรรมชิน ให้ผลรองจากครุกกรรม — Bahula-kamma or Āciṇṇa-kamma: habitual kamma)
11. อาสันนกรรม (กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย คือกรรมทำเมื่อจวนจะตายจับใจอยู่ใหม่ ๆ ถ้าไม่มี 2 ข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น — Āsanna-kamma: death-threshold kamma; proximate kamma)
12. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม (กรรมสักว่าทำ, กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้วกรรมนี้จึงจะให้ผล — Katattākamma or Katattāvāpana-kamma: reserve kamma; casual act) กฏัตตากรรม ก็เขียน
กรรม 12 หรือ กรรมสี่ 3 หมวดนี้ มิได้มีมาในบาลีในรูปเช่นนี้โดยตรง พระอาจารย์สมัยต่อมา เช่น พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นต้น ได้รวบรวมมาจัดเรียงเป็นแบบไว้ในภายหลัง.
…………..
แถม : แนวคิดเรื่องชาติหน้า
ปัญหาที่คาใจคนส่วนใหญ่ก็คือ ชาติหน้า มีจริงหรือเปล่า?
คำตอบปัญหานี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ กล่าวคือ –
ใครเชื่อว่าชาติหน้ามี ชาติหน้าก็มีสำหรับคนนั้น
ใครเชื่อว่าชาติหน้าไม่มี ชาติหน้าก็ไม่มีสำหรับคนนั้น
ไม่ใช่เช่นนั้น
ถ้าความจริงคือ ชาติหน้ามี
ใครจะเชื่อว่ามีหรือไม่เชื่อว่ามี ชาติหน้าก็มีอยู่นั่นเอง
ถ้าความจริงคือ ชาติหน้าไม่มี
ใครจะเชื่อว่ามีหรือไม่เชื่อว่ามี ชาติหน้าก็ไม่มีอยู่นั่นเอง
ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับการทำความเห็น หรือปัญญา ให้ตรงกับความจริง
ความจริงเกี่ยวกับชาติหน้ามีอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าใครจะทำความเห็นของตนให้เข้าถึงความจริงนั้นได้หรือเปล่า หรือได้แค่ไหน
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เอาเวลาที่เถียงกันว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี
: มาเร่งบำเพ็ญคุณความดี จะดีกว่าไหม?
#บาลีวันละคำ (4,741)
5-6-68
…………………………….
…………………………….