คาถาป้องกันไม่ให้คนเป็นสัตว์

คาถาป้องกันไม่ให้คนเป็นสัตว์
——————————-
เมื่อสองสามวันก่อน มีญาติมิตรท่านหนึ่งเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่มีคนเขียนข้อความลบหลู่สถาบันเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ สรุปประเด็นได้ว่า มีการเขียนว่าพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ของไทยล้วนแต่มีข้อเสียหาย
เขาบอกด้วยว่า คนเขียนเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยให้รู้จริง ถูกกรอกแนวคิดต่อต้านกษัตริย์ใส่สมองก็เชื่อตามเขาไป
ผมติดใจตรงที่ว่า เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์
โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ชาติไทยของตัวเอง
ผมเคยลองถามเด็กไทยรุ่นใหม่ว่า ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกาชื่ออะไร
เขาตอบแทบจะทันทีว่า ยอร์จ วอชิงตัน
แต่พอถามว่า นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทยชื่ออะไร
เขาตอบไม่ได้
ข้อเท็จจริงนี้บอกความจริงได้อย่างหนึ่งว่า เด็กไทยรุ่นใหม่ไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ของชาติตัวเอง
ที่เขารู้ว่า ยอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา เขาก็รู้ตามกระแสสากล ไม่ใช่รู้เพราะสนใจศึกษา
อะไรที่เป็นฝรั่ง เป็นเรื่องสากลไปแล้ว แม้ไม่สนใจ ก็ถูกท่วมทับจนต้องรู้ไปเอง
ส่วนประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต ของชาติตัวเองถูกต้อนเข้าไปเก็บไว้ในมุมที่เรียกว่า “ชนพื้นเมือง” ที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องศึกษาเรียนรู้ให้เสียเวลา
เพราะฉะนั้น เด็กไทยรุ่นใหม่จึงไม่ได้เรียนรู้ว่าพระมหากษัตริย์ของไทยคือใคร ทำอะไรมาบ้าง
ที่เขาออกมาพูดว่าพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ของไทยล้วนแต่มีข้อเสียหาย เขาก็พูดตามข้อมูลที่มีผู้ตั้งโปรแกรมไว้ให้เท่านั้นเอง
ความทั้งปวงที่ว่ามานี้ ท่านที่รู้ความจริงเป็นอย่างอื่น สามารถโต้แย้งได้นะครับ
ประเด็นที่ผมคิดต่อไปก็คือ คนเรามีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของตัวเอง
จำเป็นไหมที่เด็กไทยควรจะต้องรู้ว่า ชาติไทยเป็นมาอย่างไร
บรรพบุรุษของเราฝ่าทุกข์ยากร้อนหนาวมายาวนานเพียงไร
ใกล้เข้ามาอีก –
ลูกหลานควรจะต้องเรียนรู้ไหมว่าต้นตระกูลของตนมาจากไหน
ใครเป็นปู่ย่าตาทวด
ทำมาหากินกันมาอย่างไร
เคยทำอะไรไว้ในแผ่นดินนี้มาอย่างไรบ้างหรือเปล่า
ถ้าตอบว่าจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้
ก็ต้องมีคำอธิบายถึงเหตุผลว่า ทำไมจึงจำเป็น
แต่ถ้าตอบว่าไม่จำเป็น
ก็ไม่ต้องทำอะไร
คือก็ปล่อยกันไปอย่างที่กำลังจะเป็นไปอยู่ทุกวันนี้
ใครอยากทำอะไรก็ทำไป
ใครไม่อยากทำอะไร ก็ไม่ต้องทำ
พูดให้ชัดลงไปเลยว่า เราควรอยู่กันไปตามธรรมชาติเท่านั้นพอ
หิวก็หากิน มีปัญญาหากินแบบไหนได้ก็หากันไป
เหนื่อยก็พัก
ง่วงก็นอน
สู้ได้ก็ฟัดกัน
สู้ไม่ได้ก็หนี
อยาก ก็หาสุขมาเสพ
อะไรที่นอกเหนือไปจากนี้ ถือว่าไร้สาระ
ผมรู้สึกว่า คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะพอใจการมีชีวิตแบบนี้กันมากขึ้น
เอางั้นไหมครับ ?
—————
สมัยเรียนบาลีที่วัดสามพระยา ท่านอาจารย์แย้ม ประพัฒน์ทอง เคยให้คาถาไว้บทหนึ่ง เป็นภาษาบาลี มีข้อความว่าดังนี้ –
อาหารนิทฺทา ภยเมถุนญฺจ
สามญฺญเมตปฺปสุภี นรานํ
ธมฺโมว เตสํ อธิโก วิเสโส
ธมฺเมน หีนา ปสุภี สมานา.
(อาหาระนิททา ภะยะเมถุนัญจะ
สามัญญะเมตัปปะสุภี นะรานัง
ธัมโมวะ เตสัง อะธิโก วิเสโส
ธัมเมนะ หีนา ปะสุภี สะมานา)
แปลว่า
กิน นอน กลัว สืบพันธุ์
มีเหมือนกันทั้งคนและสัตว์
ธรรมะเท่านั้นทำให้คนประเสริฐกว่าสัตว์
เสื่อมจากธรรมเสียแล้ว คนก็เท่ากับสัตว์
———
ยังคิดอะไรไม่ออก ก็ท่องคาถานี้ไปพลางๆ นะครับ
๒๑ เมษายน ๒๕๕๗
