คำเชิญที่มิอาจปฏิเสธได้

คำเชิญที่มิอาจปฏิเสธได้
————————-
บ้านผมอยู่ราชบุรี แต่ที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ และผมไม่มีบ้านพักในกรุงเทพฯ ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีเดินทางแบบเช้าไป-เย็นกลับ โดยรถไฟบ้าง รถยนต์บ้าง
ผมเห็นคนรอรถโดยสารตลอดทางตั้งแต่ออกจากราชบุรีจนถึงกรุงเทพฯ และผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องทำเช่นนั้นเสมอ
ระหว่างรอ เห็นรถส่วนตัววิ่งผ่าน ผมเคยคิดบ่อยๆ ว่าถ้ารถพวกนั้นจะจอดรับคนที่รอไปด้วย ก็จะดีนักหนา
รถส่วนตัวส่วนมากมีที่ว่าง บางคันมีแต่คนขับคนเดียว รับเพื่อนร่วมทางไปด้วยจะมีปัญหาอะไรนักเชียว
————–
กำแพงมหึมาที่ขวางเอาไว้ก็คือ ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ฝ่ายรถ – จะไว้ใจได้อย่างไรว่าคนที่เราจอดรับจะไม่ขึ้นมาจี้เอารถไป ฯลฯ
ฝ่ายผู้รอรถ – จะไว้ใจได้อย่างไรว่ารถที่จอดรับจะไม่พาไปทำร้าย ฯลฯ
ผมอยากให้คนสมัยใหม่ที่มักทะนงตัวว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าคนรุ่นเก่า ลองคิดหามาตรการ “เจ๋งๆ” ชนิดที่ว่า ใช้มาตรการนี้แล้ว –
– จอดรับใคร รู้จักหรือไม่รู้จัก มั่นใจได้แน่ว่ารับขึ้นมาแล้วปลอดภัย
– ขึ้นรถไปกับใคร รู้จักหรือไม่รู้จัก มั่นใจได้แน่ว่าพาไปส่งถึงปลายทางอย่างปลอดภัย
ใครคิดออกจะขอกราบงามๆ
————
เมื่อผมมีรถส่วนตัวและขับไปทำงาน ผมก็เอาหัวใจของคนรอรถมาใส่ตัวเอง คิดว่าถ้ามีคนจอดรับไปด้วยผมจะขอบคุณมาก
วันหนึ่ง ผมขับกลับราชบุรีคนเดียว พอถึงแยกนครชัยศรี (ที่มักเรียกกันว่า ท่านา) อันเป็นจุดที่มีคนรอรถกันมาก ผมชะลอเข้าไปตรงที่มีคนยืนรอกันอยู่ จอดแล้วไขกระจกด้านซ้ายลง ร้องถามไปดังๆ ว่า
“มีใครจะไปราชบุรีมั่งครับ”
พอจะร้องเป็นหนที่สาม ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นสัตว์ประหลาด
บรรดาคนที่รอรถอยู่ตรงนั้นผมเชื่อว่าต้องมีคนที่กำลังรอรถกลับราชบุรีหรือไปลงตามเส้นทางที่ผ่านอยู่ด้วยแน่ๆ
แต่ไม่มีใครแสดงท่าทางว่ายินดีจะไปกับผมแม้แต่คนเดียว
ตรงกันข้าม เขาพากันมองผมเหมือนเป็นตัวประหลาด
ทั้งๆ ที่ผมแต่งเครื่องแบบทหารเรือ !
ผมรู้สึกผิดหวังมาก แต่ผมไม่โทษใคร
“….จะไว้ใจได้อย่างไรว่ารถที่จอดรับจะไม่พาไปทำร้าย ฯลฯ”
ผมคิดแวบขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่คิดจะจอดรับใครอีกที่ไม่รู้จัก นอกจากคนที่แต่งเครื่องแบบทหารเรือเหมือนกัน
————
แต่ผมก็ยังไม่เข็ดง่ายๆ
คราวหนึ่ง ผมมีงานกึ่งราชการต้องไปทำที่นครสวรรค์ ผมวางแผนขับรถไปเอง กะว่าจะแวะไปไหว้หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ที่สุพรรณฯ จึงค่อยเข้าอยุธยาแล้วต่อไปนครสวรรค์ ไปเรื่อยๆ แบบสบายๆ
ผมก็คงคิดตามประสาผม สมมุติว่าผมมีธุระจะต้องไปนครสวรรค์วันนี้แล้วมีคนมาชวนนั่งรถไปด้วยกัน ผมจะขอบคุณมากๆ
ผมเขียนข้อความตัวใหญ่บนกระดาษว่า
“ไปนครสวรรค์ ยินดีรับเพื่อนร่วมทาง”
เอากระดาษวางไว้ที่กระจกหน้ารถ ขับไปจอดใกล้ๆ ท่ารถเข้ากรุงเทพฯ เชื่อว่าต้องมีคนเห็น
มีคนมาหยุดชำเลืองอ่านหลายคน แต่ไม่มีใครมาบอกว่าจะขอไปกับผม
ผมรออยู่ในรถเกือบชั่วโมง จึงขับรถไปแต่เพียงคนเดียว !
—————
ที่เล่ามาเป็นเหตุการณ์ตอนปลายสมัยทำงาน ผมยังไม่เกษียณอายุราชการ
แต่เมื่อสองวันก่อน ผมเดินไปวัดเพื่อถวายความรู้ภาษาบาลีแก่พระ
ลอดทางรถไฟ ผ่านหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี
มีรถที่เรียกกันว่า ซาเล้ง หรือรถสามล้อพ่วงข้าง (แบบใช้ขนของ ไม่ใช่รถโดยสาร) ขับไปจอดข้างหน้า พอผมเดินไปถึง คนขับก็บอก
“ไปไหน ขึ้นรถไป”
คนขับอายุไล่เลี่ยกับผม ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน
“อ๋อ ไปวัดนี่เอง” ผมยิ้มต้อนรับไมตรีจิต
“ขึ้นรถไป” เขาบอกสั้นๆ
“คือผมจะเดินออกกำลังไปด้วยน่ะ” ผมบอก
“ขึ้นรถไป” เขาพูดคำเดิม “อย่าให้เสียน้ำใจ”
ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้ผมสะอึกจนไม่อาจปฏิเสธได้
ขอบคุณ-โลกทุกวันนี้-ที่ยังมีคนคิดเหมือนผมอย่างน้อยก็คนหนึ่ง
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๗