บาลีวันละคำ

ทวารบถ (บาลีวันละคำ 4,765)

ทวารบถ

ท่านจดมาจากคำว่า gateway

อ่านว่า ทะ-วา-ระ-บด

ประกอบด้วยคำว่า ทวาร + บถ 

(๑) “ทวาร” 

บาลีเป็น “ทฺวาร” (มีจุดใต้ ทฺ) อ่านว่า ทัว-อา-ระ (เสียง ทัว- รวบกับ อา-) รากศัพท์มาจาก – 

(1) ทฺวิ (สอง) + อรฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + (อะ) ปัจจัย, ลบ อิ ที่ (ทฺ)-วิ แล้วทีฆะ อะ ที่ เป็น อา (ทฺวิ > ทฺว > ทฺวา)

: ทฺวิ + อรฺ = ทฺวิร + = ทฺวิร > ทฺวร > ทฺวาร แปลตามศัพท์ว่า (1) “ช่องเป็นที่คนสองคนเข้าออก” (คือเข้าคนออกคน) (2) “ช่องเป็นที่เป็นไปแห่งบานสองบาน” 

(2) ทฺวิ (สอง) + อรฺ ปัจจัย ลบ อิ ที่ (ทฺ)-วิ แล้วทีฆะ อะ ที่ เป็น อา (ทฺวิ > ทฺว > ทฺวา)

: ทฺวิ + อรฺ = ทฺวิร > ทฺวร > ทฺวาร แปลตามศัพท์ว่า “ช่องเป็นที่มีกิจสองอย่าง” (คือเข้าและออก) 

(3) ทฺวรฺ (ธาตุ = ระวังรักษา) + ปัจจัย, ลบ , ทีฆะ อะ ที่ (ทฺ)--(ร) เป็น อา (ทฺวรฺ > ทฺวาร)

: ทฺวรฺ + = ทฺวรณ > ทฺวร > ทฺวาร แปลตามศัพท์ว่า “ช่องเป็นเครื่องระวังรักษา” 

ทฺวาร” (นปุงสกลิงค์) ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –

(1) ประตูนอก, ทวาร, ประตู, ทางเข้าออก (an outer door, a gate, entrance) 

(2) ทวาร = ทางเข้าและทางออกของจิตใจ, กล่าวคือ อายตนะ (the doors = inlets & outlets of the mind, viz. the sense organs)

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า –

ทวาร, ทวาร– : (คำนาม) ประตู เช่น นายทวาร; ช่อง ในคำ เช่น ทวารหนัก ทวารเบา ใช้เป็นคำสุภาพ หมายถึง รูขี้ รูเยี่ยว, ทาง เช่น กายทวาร. (ป., ส.).”

(๒) “บถ” 

บาลีเป็น “ปถ” อ่านว่า ปะ-ถะ รากศัพท์มาจาก ปถฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป) + (อะ) ปัจจัย 

: ปถฺ + = ปถ (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า (1) “ที่เป็นเครื่องเดินไป” (2) “ที่เป็นที่ไป” (3) “ที่อันผู้มีกิจน้อยใหญ่เกิดขึ้นดำเนินไป” 

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “ปถ” ว่า path, road, way (หนทาง, ถนน, ทาง) 

บาลี “ปถ” ใช้ในภาษาไทยเป็น “บถ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

บถ : (คำแบบ) (คำนาม) ทาง เช่น กรรมบถ. (ป. ปถ).”

หมายเหตุ: คำว่า “คำแบบ” หมายความว่า คำที่ใช้เฉพาะในหนังสือ ไม่ใช่คำพูดทั่วไป

ทฺวาร + ปถ = ทฺวารปถ > ทวารบถ 

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

ทวารบถ : (คำนาม) ทางเข้าออก เช่น อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุง รวมทั้งทวารบถทางเข้านครเล่า (กามนิต).”

ทวารบถ” บัญญัติขึ้นจากคำอังกฤษว่า gateway

พจนานุกรม สอ เสถบุตร แปล gateway ว่า ทางเข้าทางออก

พจนานุกรมอังกฤษ-บาลี แปล gateway เป็นบาลีดังนี้:

(1) koṭṭhaka โกฏฺฐก (โกด-ถะ-กะ) = ซุ้มประตู

(2) gopura โคปุร (โค-ปุ-ระ) = “เมืองแห่งคำพูด” คือสถานที่ที่ผู้คนถูกซักถาม = ประตูเมือง

(3) toraṇa โตรณ (โต-ระ-นะ) = ประตูที่สร้างอย่างวิจิตร

(4) dvārakoṭṭhaka ทฺวารโกฏฺฐก (ทัว-อา-ระ-โกด-ถะ-กะ) = ซุ้มประตูเข้าออก

ขยายความ :

พจนานุกรมฯ ยกข้อความที่มีคำว่า “ทวารบถ” มาจากหนังสือเรื่อง กามนิต 

วรรณกรรมเรื่องกามนิต ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาเยอรมัน ชื่อ Der Pilger Kamanita กวีและนักเขียนชาวเดนมาร์กชื่อ Karl Adolph Gjellerup (ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณคดีปี พ.ศ. 2460) เป็นผู้เขียนเมื่อ พ.ศ. 2449

ต่อมา นาย John E. Logie ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2454 ให้ชื่อว่า The Pilgrim Kamanita

“เสฐียรโกเศศ” (พระยาอนุมานราชธน) และ “นาคะประทีป” (พระสารประเสริฐ) แปลจากฉบับภาษาอังกฤษ และพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2473 ให้ชื่อในภาษาไทยว่า “กามนิต

ต่อมากระทรวงศึกษาธิการนำไปพิมพ์เป็นหนังสืออ่านประกอบการเรียน เปลี่ยนชื่อเป็น “วาสิฏฐี” ตามชื่อนางเอก

ขอยกข้อความเต็ม ๆ จากหนังสือเรื่อง กามนิต เฉพาะตอนที่พจนานุกรมฯ ยกมาเป็นตัวอย่าง พร้อมทั้งฉบับภาษาอังกฤษมาให้ดูเทียบกัน ดังนี้ –

…………..

        ขณะพระองค์เสด็จมาใกล้เบญจคิรีนครคือราชคฤห์ เป็นเวลาจวนสิ้นทิวาวารแดดในยามเย็นกำลังอ่อนลงสู่สมัยใกล้วิกาล ทอแสงแผ่ซ่านไปยังสาลีเกษตร แลละลิ่วเห็นเป็นทางสว่างไปทั่วประเทศสุดสายตา ดูประหนึ่งมีหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็นคลื่นซ้อนซับสลับกันเป็นทิวแถว ต้องแสงแดดจับเป็นสีระยับวะวับแววประหนึ่งเอาทรายทองไปโปรยปราย เลื่อนลอยลิ่ว ๆ เรี่ย ๆ รายลงจดขอบฟ้า ชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่างพากันดุ่ม ๆ เดินกลับเคหสถานเห็นไร ๆ เงาหมู่ไม้อันโดดเดี่ยวอยู่กอเดียว ก็ยืดยาวออกทุกที ๆ มีขอบปริมณฑลเป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุง รวมทั้งทวารบถทางเข้านครเล่า มองดูในขณะนั้นเห็นรูปเค้าได้ชัดถนัดแจ้งดั่งว่านิรมิตไว้ มีสุมทุมพุ่มไม้ดอกออกดกโอบอ้อมล้อมแน่นเป็นขนัด ถัดไปเป็นทิวเขาสูงตระหง่าน มีสีในเวลาตะวันยอแสงปานจะฉาบเอาไว้เพื่อแข่งกับแสงสีมณีวิเศษ มีบุษยราคบัณฑรวรรณและก่องแก้วโกเมน แม้รวมกันให้พ่ายแพ้ฉะนั้น

…………..

        As the Master drew near to the City of the Five Hills, day was almost over. The benevolent rays of the evening sun lay along the green rice‐fields and meadows of the far‐reaching plain as if they were emanations from a divine hand extended in blessing. Here and there billowing clouds — of purest gold‐dust it seemed — rolled and crept along the ground, showing that farm‐workers and oxen were plodding wearily homeward from their labour in the fields; and the lengthening shadows cast by isolated groups of trees were bordered by a halo, radiant with all the colours of the rainbow.

        Framed in a wreath of blossoming gardens, the embattled gateways, terraces, cupolas and towers of the capital shone forth delicately clear as in some ethereal vision; and a long line of rocky out‐crops, rivalling in colour the topaz, the amethyst and the opal, were patterned into an enamel of incomparable beauty.

…………..

ที่มาฉบับภาษาไทย: กามนิต – วาสิฏฐี ฉบับสมบูรณ์

สำนักพิมพ์ศยาม พิมพ์ครั้งที่ 3, 2542

ที่มาฉบับภาษาอังกฤษ: The Pilgrim Kamanita 

Translated from the German by John Logie

Edited by Amaro Bhikkhu

Second Edition 2008

…………..

ดูก่อนภราดา!

: ประตูเมืองเข้าออกกี่ครั้งไม่ต้องยั้งคิด

: แต่ประตูชีวิตเข้าออกได้คนละครั้งเดียว

#บาลีวันละคำ (4,765)

29-6-68

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *