บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

คำตอบอยู่ที่ไหน

คำตอบอยู่ที่ไหน

————-

มีเรื่องแทรกครับ

เมื่อวานซืน (๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๓) เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดราชบุรีมาที่บ้านผม มาเล่าเรื่องกฐินวัดท่ามะเฟือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้

ปัญหาคือวัดท่ามะเฟืองมีพระจำพรรษา ๓ รูป หลวงพ่อเจ้าอาวาสต้องการรับกฐิน 

ตามที่เข้าใจกัน วัดที่จะรับกฐินได้ต้องมีพระจำพรรษาตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป

เจ้าหน้าที่ฯ เล่าว่า ไปถามพระวัดเขาวังราชบุรี พระวัดเขาวังบอกว่า พระ ๓ รูปรับกฐินไม่ได้

เจ้าหน้าที่ฯ เล่าว่า ไปนมัสการถามท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีตอบว่า นิมนต์พระวัดอื่นมาให้ครบ ๕ รูป ก็รับกฐินได้ แต่พระที่นิมนต์มาจะไม่ได้อานิสงส์กฐิน คงได้อานิสงส์เฉพาะพระที่จำพรรษาที่วัดท่ามะเฟือง 

ผมยังไม่ได้ไปนมัสการถามท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีว่าท่านตอบอย่างนี้จริงหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไร เอาเป็นว่ามีผู้แสดงความเห็นว่าทำอย่างนี้แล้วรับกฐินได้-ก็แล้วกัน จะเป็นความเห็นของใครก็ยกไว้ก่อน

เจ้าหน้าที่ฯ ถามผมว่า ผมมีความเห็นอย่างไร 

ผมตอบว่า ตามหลักพระวินัยแล้ว พระ ๓ รูปรับกฐินไม่ได้ แต่รับผ้าจำนำพรรษาได้ 

ผ้าจำนำพรรษาเป็นผ้าที่มีคติเดียวกับผ้ากฐิน คือถวายได้ภายใน ๑ เดือนหลังจากออกพรรษา วัตถุประสงค์ก็ทำนองเดียวกับผ้ากฐินคือเพื่อให้พระใช้ผลัดเปลี่ยนจีวร 

ผ้ากฐินต้องถวายเป็นของสงฆ์ 

แต่ผ้าจำนำพรรษาถวายเป็นของสงฆ์ก็ได้ ถวายเจาะจงให้พระรูปใดรูปหนึ่งก็ได้ 

ถ้าพระอยู่จำพรรษาไม่ครบองค์สงฆ์ คือไม่ถึง ๔ รูป (เช่นกรณีวัดท่ามะเฟือง) ถ้าถวายผ้าจำนำพรรษาให้เป็นของสงฆ์ (คือที่เราเรียกกันว่าถวายสังฆทาน) กรณีอย่างนี้ต้องไปนิมนต์จากวัดมาอื่นเพื่อให้ครบองค์สงฆ์ พระจึงจะใช้สอยผ้านั้นได้ เพราะเขาถวายเป็นของสงฆ์ ไม่ใช่ถวายส่วนตัว แต่เวลานั้นที่วัดนั้นไม่มีสงฆ์ 

เมื่อหาพระมาได้ครบองค์สงฆ์แล้ว สงฆ์ประชุมกันยกผ้านั้นให้ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง (ซึ่งตามมรรยาทก็ต้องยกให้พระเจ้าถิ่น) พระที่ได้รับผ้านั้นจะได้สิทธิ์เช่นเดียวกับได้รับกฐิน

เรื่องนี้มีปรากฏในจีวรขันธกะ คัมภีร์มหาวรรค ภาค ๒ วินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๑๖๔ ประกอบคำอธิบายในอรรถกถา คือคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ภาค ๓ หน้า ๒๔๐ 

———–

กรณีวัดท่ามะเฟืองนี้ จะเห็นได้ว่า —

พระวัดเขาวังราชบุรีตอบอย่างหนึ่ง

ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีตอบไปอย่างหนึ่ง

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ตอบไปอีกอย่างหนึ่ง 

ถ้าเอาไมค์ไปจ่อปากใครอีก ก็จะได้คำตอบอีกร้อยอย่างพันอย่าง

หนทางปฏิบัติคืออย่างไร?

หนทางปฏิบัติคือมหาเถรสมาคมตั้งคณะทำงานถาวรขึ้นมาคณะหนึ่ง ซึ่งผมเสนอให้เรียกชื่อว่า “กองวิชาการคณะสงฆ์” 

ตั้งอย่างไร? 

วิธีตั้งคือ สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระบัญชาให้ตั้งกองวิชาการคณะสงฆ์ขึ้นในมหาเถรสมาคม ประกอบด้วยสมเด็จพระราชาคณะหรือพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองรูปหนึ่งเป็นแม่กอง พระราชาคณะและ/หรือพระภิกษุเปรียญธรรม ๙ ประโยคจำนวนหนึ่ง (ตามความเหมาะสม) เป็นกรรมการ 

กองวิชาการคณะสงฆ์ทำงานอย่างไร?

๑ แม่กองวิชาการคณะสงฆ์มีอำนาจตั้งเจ้าหน้าที่ธุรการขึ้นมาชุดหนึ่ง

๒ หาสถานที่เข้าสักแห่งหนึ่ง วัดไหนก็ได้ที่ไปมาสะดวก

๓ จัดหาเครื่องมือ/อุปกรณ์ที่จำเป็น โดยเฉพาะคัมภีร์พระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาทั้งปวง

๔ เจ้าหน้าที่ธุรการนำปัญหาเรื่องวัดท่ามะเฟืองเสนอคณะกรรมการ

๕ แม่กองวิชาการคณะสงฆ์เรียกประชุมกรรมการพิจารณาปัญหา

๖ คณะกรรมการอัญเชิญพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาทั้งปวงออกมาศึกษาตรวจสอบ ได้ข้อยุติอย่างไรร่างเป็นมติออกมา

๗ นำมติเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม เพื่อพิจารณา แล้วประกาศออกมาเป็นมติมหาเถรสมาคม ให้ถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกันทั่วสังฆมณฑล

ทำแบบนี้ จบ

ความเห็นพระวัดเขาวังราชบุรี จบ

ความเห็นท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี จบ

ความเห็นนาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย จบ

หรือจะเป็นความเห็นของท่านเจ้าคุณท่านมหาอีกกี่ร้อยกี่พันความเห็น เก็บเข้ากรุไป จบ

ปัญหาคาใจสังคม คาใจชาวบ้านอีกกี่ร้อยกี่พันเรื่อง ทำแบบเดียวกันนี้ จบ

รวมทั้งปัญหาพระเดินตามเสลี่ยงที่มีสีกานั่ง ก็ทำแบบเดียวกันนี้ จบ

กองวิชาการคณะสงฆ์จะมีงานทำตลอดปี-ตลอดไป

แล้วทำไมไม่ทำ?

เรื่องนี้ต้องถามไปที่ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม 

คำตอบอยู่ที่นั่นครับ 

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓

๑๑:๑๖

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *