บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

คำถามของกระรอก

คำถามของกระรอก

———————————-

พอรัฐบาลประกาศยุบสภา 

ป้ายหาเสียงก็โผล่ขึ้นมาทันควัน

นั่นหมายความว่า เริ่มฤดูกาลจุดไม้ขีดเผาเมืองกันอีกรอบหนึ่งแล้วครับ

“จุดไม้ขีดเผาเมือง” หมายถึงการโกงเลือกตั้ง อันเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการชุมนุมทางการเมืองที่เพิ่งซาลงไป

และคำว่า “โกงเลือกตั้ง” ที่จะเอ่ยถึงต่อๆ ไปนี้ หมายรวมถึงการซื้อเสียง ขายสิทธิ์ และกรรมวิธีนอกกฎหมายทุกรูปแบบที่จะทำให้ชนะเลือกตั้ง

ขอให้ยอมรับกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่า ที่เกิดการชุมนุมจนฆ่ากันตายก็เนื่องมาจากการโกง

เริ่มตั้งแต่โกงในเวลาเลือกตั้ง 

แล้วไปโกงกันในสภา 

และโกงในเวลาเป็นรัฐบาล

ที่เกิดการชุมนุมก็เพราะเขาจับได้ว่ามีการโกง

ความจริง ไม่ต้องเรียกว่า “จับได้” เพราะโกงกันอย่างโจ่งแจ้งโดยย่ามใจว่าไม่มีใครขวางทางได้

คือโกงกันอย่างสุดแสนที่จะทนทานอีกต่อไป มันจึงระเบิดออกมา

ที่แล้วมาก็แล้วไป 

ใครจะเคยโกงมาก่อน ถือว่าตอนนี้คะแนนเป็นศูนย์เท่ากัน

แต่ที่กำลังจะเริ่มใหม่นี่ต้องจับเข่าคุยกันให้เข้าใจก่อน

คือห้ามโกงอีก

พูดแบบนี้คงมีคนหัวเราะจนฟันหัก

เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า เลือกตั้งทุกครั้งต้องมีคนโกง 

และส่วนใหญ่แล้วคนที่โกงนั่นเองคือคนที่ชนะ

ไม่ว่าจะวางมาตรการอะไร รณรงค์ให้ต่อต้านการโกงอย่างไร

ก็ยังไม่เคยปรากฏว่ามีใครสามารถปราบการโกงเลือกตั้งได้เลย 

มีแต่จะยิ่งโกงกันหนักมือขึ้น

ตั้งแต่สมัยแอบโกง จนกระทั่งโกงกันเห็นๆ หรือโกงให้ดูกันซึ่งหน้านั่นเลย

แล้วจะเอาน้ำยาที่ไหนไปห้ามโกงได้

ผมผู้พูดก็ไม่มีน้ำยาอะไรจริงๆ นั่นแหละครับ

มีอยู่อย่างเดียว คือ สำนึกแห่งความเป็นคน – ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน

เมื่อเป็นคนด้วยกัน ก็ควรจะพูดกันรู้เรื่อง

บรรยายสรุปกันก่อน – เผื่อจะลืมว่ารากเหง้ามันมาจากไหน

เดิมก็มีคนมาอยู่รวมกันเป็นประเทศไทย 

มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง

อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีคนลุกขึ้นมาประกาศว่า ไม่เอากษัตริย์ 

เพราะกษัตริย์โกง

ต้องให้ราษฎรปกครองกันเอง

มีการคัดสรรคนที่จะไปเป็นผู้ปกครองด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการต่างๆ

มาลงตัวที่ให้ใช้วิธีเลือกตั้ง

และมีคำเรียกคนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งว่า “นักการเมือง”

กษัตริย์จะโกงหรือเปล่า ไปศึกษาประวัติศาสตร์หาความจริงกันเอาเองได้

แต่นักการเมืองโกงจริง ไม่ต้องไปศึกษาที่ไหน เพราะโกงให้ดูกันต่อหน้าพวกเราอยู่ในวันนี้แล้ว

หลักการของระบอบประชาธิปไตยก็คือ ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่

นักการเมืองก็คือคนที่อาสาเข้าไปทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ

เป็นหลักการที่สั้น กระทัดรัด ชัดเจน

การทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนนั้นต้องเหนื่อย ต้องเสียสละ และที่สำคัญต้องไม่หวังประโยชน์ส่วนตัว

ตำแหน่งที่ต้องเหนื่อย และต้องเสียสละ โดยไม่ได้ประโยชน์ส่วนตัว คนก็มักจะไม่อยากเป็น นี่เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องจริง ไม่ต้องยกตัวอย่างให้เสียเวลา 

นึกถึงองค์กรการกุศลอะไรก็ได้ที่ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัว ก็จะเห็นความจริง

จะหาคนทำงานก็ต้องไหว้วานกันเข้าไป

แต่การเป็น สส. เป็น สว. เป็นรัฐบาล ทำไมคนจึงอยากเป็น

คำตอบที่เป็นความจริงก็คือ เพราะมีผลประโยชน์ส่วนตัว

อย่าปฏิเสธ

การจ้างคนให้เลือกตัวเข้าไป และการโกงด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ชนะเลือกตั้ง เป็นเครื่องยืนยัน

ปฏิเสธอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น

มีความจริง ๒ เรื่อง ที่ดูเทียบกันแล้วจะยิ่งเห็นกิเลสตัณหา ความเห็นแก่ตัว และความโกงของคน –

๑ ในการคัดเลือกทหารกองประจำการ หรือที่เรียกกันว่าการไล่ทหาร หรือเกณฑ์ทหาร จะมีคนพยายามจ่ายเงินเพื่อไม่ต้องเป็นทหาร 

เหตุผลง่ายๆ คือเป็นทหารไม่ได้ประโยชน์ส่วนตัว 

เอาเวลาที่เป็นทหารไปหาเงินได้มากกว่าเงินที่จ่ายให้คนโกงหรือคนวิ่งเต้น 

นี่คือซื้อเพื่อจะได้ไม่ต้องเป็น

๒ ในการเลือกตั้ง จะมีคนพยายามจ่ายเงินเพื่อจะได้เป็นตำแหน่งที่เลือก 

เหตุผลง่ายๆ คือเป็น สส. สว. หรือ ส.-อะไรก็ตาม ได้ประโยชน์ส่วนตัว 

และได้มากกว่าเงินที่จ่ายเพื่อการโกงหรือการซื้อเสียงหลายร้อยหลายพันเท่า 

นี่คือซื้อเพื่อจะให้ได้เป็น

เอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งทั้งสิ้น

มีความจริงที่อยากชวนให้สังเกต ๒ จุด –

๑ นายทุน-ผู้สมัครจ่ายเงินให้หัวคะแนนเพื่อเอาไปจ่ายให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง (ซื้อเสียง) หัวคะแนนหักเอาไว้ส่วนหนึ่ง บางรายเก็บไว้คนเดียวทั้งหมด เป็นเหตุให้ฆ่ากันหลังเลือกตั้งเมื่อปรากฏว่าไม่มีสินค้าให้ตามราคาที่จ่ายไป 

นี่คือโกงในโกง หรือโกงซ้อนโกง 

เป็นความเลวทรามหาที่เปรียบมิได้

๒ คนที่ละเมิดกฎหมายตั้งแต่ต้นทาง แต่กลับได้ไปทำหน้าที่ออกกฎหมาย และใช้อำนาจตามกฎหมาย นี่คือความเสื่อมทรามและเลวทรามที่ประพฤติกันมาและกำลังประพฤติกันอยู่ในหมู่นักการเมือง

เหยียบย่ำกฎหมายทันทีที่จะได้ประโยชน์

อ้างหลักกฎหมายทันทีที่จะเสียประโยชน์

ที่ว่ามานี้ไม่ได้แบ่งแยกว่า สีไหน ฝ่ายไหน พรรคไหน หรือรัฐบาลชุดไหนสมัยไหน

เพราะหมายถึงทั้งหมด

สีไหน ฝ่ายไหน พรรคไหน หรือรัฐบาลชุดไหนจะพิสูจน์ยืนยันว่าตนไม่โกง ก็พิสูจน์กันไป

จะอ้างรายงานทางวิชาการ 

อ้างสถิติว่าการซื้อเสียงไม่มีผลกระทบต่อการแพ้ชนะ 

ชนะมาด้วยคะแนนบริสุทธิ์ 

ฯลฯ

ก็เชิญตามสบาย

มีปัญญาอ้างก็อ้างไปให้เต็มที่

แต่เราตัดสินกันด้วยความจริงครับ

ตัวความจริงจะเป็นคำตัดสินสุดท้ายและเด็ดขาด

แค่คนทำ รู้ว่าตัวทำ ก็เป็นคำตัดสินอยู่ในตัวแล้ว

เหมือนพระนั่นแหละครับ ถ้าเสพเมถุนจริง ก็ปาราชิกไปเรียบร้อยแล้ว 

ไม่ต้องรอให้มีคนรู้เสียก่อนจึงจะปาราชิก 

ไม่ต้องรอหลักฐานที่ไหนมาเป็นตัวตัดสิน

เอาการกระทำเป็นตัวตัดสิน

ถ้าไม่ได้เสพ ไม่ได้ละเมิด ก็บริสุทธิ์ ไม่ต้องให้ใครมารับรอง

————-

เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ ไม่ใช่ไปห้ามไม่ให้โกง เพราะห้ามไม่ได้ ใครก็รู้

โกงจริงๆ แต่กลับมาพูดตาใสว่าไม่ได้โกง ใครก็เห็น

เวลานี้มาถึงขั้นโกงโดยสุจริต

ถึงจะโกงก็ยอมรับได้

เสื่อมสุดขีดแล้วครับ

เพียงแค่ขอให้ช่วยกันเข้าใจและยอมรับว่า สาเหตุทั้งหมดที่เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองมาจากการโกง

ขอให้ยอมรับว่า การโกงเป็นสาเหตุให้มีการชุมนุม

อย่าตะแบงว่าไม่ใช่ อย่าเถียงว่าไม่ใช่

สาเหตุอื่นก็อาจมีด้วย แต่การโกงเป็นสาเหตุสำคัญ

และการโกงเป็นความเลว เป็นความชั่ว ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ผู้เจริญแล้วควรจะทำ

เหตุของปัญหาอยู่ที่ไหน ต้องแก้ที่นั่นครับ

ถ้าไม่เริ่มต้นด้วยการยอมรับความจริง ก็ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ 

แล้วก็จะวนกลับไปหาเหตุการณ์แบบเดิมอีก 

คือชุมนุมกันอีก 

ด่ากันอีก 

ตายกันอีก ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า

เพราะฉะนั้น ถ้ามีสำนึกแห่งความเป็นคน – ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน ก็ขอให้ยอมรับ

ต้องยอมรับก่อน กระบวนการแก้ปัญหาจึงจะเริ่มต้นได้

วิธีแก้ปัญหาที่ผมคิดได้ในเวลานี้มี ๒ อย่าง –

อย่างที่หนึ่ง คือขอให้ช่วยกันแสดงความรังเกียจ

รังเกียจการโกง และรังเกียจคนโกง

เริ่มกันที่-รังเกียจความคิดที่ว่า การโกง (อย่าลืมนิยามความหมายที่บอกไว้ข้างต้นนะครับ) เป็นเรื่องธรรมดา 

ใครที่คิดว่า การโกงเป็นเรื่องธรรมดา คนนั้นคือคนที่น่ารังเกียจเป็นคนแรก

ต้องคิดใหม่ครับ คือต้องคิดว่าการโกงไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นความชั่ว และเป็นเรื่องที่ต้องรังเกียจ

ก็เพราะมีคนคิดว่าการโกงเป็นเรื่องธรรมดานั่นเอง การโกงจึงดำรงอยู่ได้

ก็เหมือนกับพูดว่า ปุถุชนย่อมมีกิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นเรื่องธรรมดา

แต่การโกงเป็นเรื่องที่เลยขั้นธรรมดาของกิเลสไปแล้ว

กิเลสมี ๓ ชั้นครับ 

ชั้นลึก ชั้นรุม ชั้นล้น

ชั้นลึก ไม่แสดงตัวออกมา ถ้าไม่มีอะไรไปกวนก็จะสงบนิ่งเหมือนไม่มี พระท่านเรียกว่า อนุสัยกิเลส ชั้นนี้ปุถุชนมีกันทุกคน เป็นเรื่องธรรมดา

ชั้นรุม ชั้นนี้กิเลสคุกรุ่นอยู่ในใจ คนเดือดร้อนคือตัวเอง คนอื่นยังไม่ได้รับผลกระทบถ้ายังควบคุมได้ พระท่านเรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส ชั้นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา

ชั้นล้น คือล้นออกมาเป็นการกระทำ คำพูด เพราะควบคุมไม่ได้ ชั้นนี้มีผลกระทบกับคนอื่น พระท่านเรียก วีติกกมกิเลส (วี-ติก-กะ-มะ-) ชั้นนี้ไม่ธรรมดาแล้ว แต่เกินธรรมดา

การโกงเป็นกิเลสชั้นที่ล้นออกมาครับ 

จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นความเลว ความชั่ว

แต่เมื่อมองกันว่า การโกงเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ แก้ไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ (อย่างน้อยก็ ณ เวลานี้) ก็ต้องทำอะไรกันสักอย่างหนึ่ง-ที่สามารถทำได้ 

นั่นคือแสดงความรังเกียจออกมาให้ปรากฎ

แสดงออกให้คนโกงรับรู้ว่า มีคนรังเกียจจริงๆ

แม้คนโกงจะไม่กลัวการรังเกียจ ยังหน้าด้านคิดอยู่ว่า – รังเกียจก็รังเกียจไปซี ข้าโกงได้ก็แล้วกัน – ก็ให้เขาคิดไป

ใครอยู่ในฐานะจะแสดงความรังเกียจแบบไหนได้ ก็ขอให้แสดงออกมา

ข้อสำคัญต้องตั้งอารมณ์ให้ถูก ว่าการแสดงความรังเกียจไม่ใช่การตั้งตัวเป็นศัตรู

โดยเฉพาะข้าราชการประจำ และผู้อยู่ในฐานะเป็นกลางเช่นพระสงฆ์ มักจะวางตัวลำบาก 

ที่วางตัวลำบากก็เพราะตั้งอารมณ์ไม่เป็น

ขอให้คิดอย่างนี้ครับ –

พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณ คนเป็นลูกต้องเคารพ นับถือ บูชา

สมมุติว่าพ่อแม่ไปทำผิดมา ไปฆ่าเขา ไปทำร้ายเขา ไปรังแกเขา ไปปล้นเขา ไปโกงเขา สรุปว่าไปทำชั่วมา ว่างั้นเถอะ

ลูกก็ยังคงต้องเคารพ นับถือ บูชาพ่อแม่อยู่นั่นเอง

ลูกคนไหนเห็นพ่อแม่ทำชั่ว เลยเลิกเคารพ นับถือ บูชาพ่อแม่

เลวครับ เป็นลูกเลว

ลูกที่ดีมีปัญญายังคงเคารพ นับถือ บูชาพ่อแม่เต็มร้อยเหมือนเดิมทุกประการ

แต่ต้องรังเกียจการกระทำของพ่อแม่ครับ

คือต้องประกาศชัดเจนว่า การไปฆ่าเขา ไปทำร้ายเขา ไปรังแกเขา ไปปล้นเขา ไปโกงเขา ที่พ่อแม่ทำลงไปนั้นเป็นความชั่ว เป็นความเลว เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ และต้องรังเกียจ

รังเกียจการกระทำของพ่อแม่ครับ ไม่ใช่รังเกียจพ่อแม่

ต้องแยกตรงนี้ให้ดี มิเช่นนั้นจะพลาด

เวลานี้พลาดกันตรงนี้มาก โดยเฉพาะข้าราชการประจำ

ไปเข้าใจว่าการรังเกียจผู้บังคับบัญชาที่ประพฤติชั่ว เป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้บังคับบัญชา ซึ่งข้าราชการที่ดีไม่พึงทำ

ลูกที่รังเกียจความชั่วของพ่อแม่ ไม่ได้หมายความว่ารังเกียจพ่อแม่

ถ้ายังไม่เข้าใจก็นึกถึงคำลงท้ายหนังสือราชการก็ได้

ขอแสดงความนับถือ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

แม้ว่าผู้รับหนังสือจะมีความประพฤติชั่วช้าเลวทรามขนาดไหน แม้ว่าเราไม่เคยนึกจะนับถือเลยแม้แต่น้อย ก็ต้องใช้คำลงท้ายให้ถูกต้องกับสถานภาพของผู้รับ

ใช้ผิดคือเราบกพร่องนะครับ

แต่ก็ไม่มีระเบียบข้อไหนบังคับว่า เมื่อใช้คำลงท้ายว่า “ขอแสดงความนับถือ” แล้ว ความคิดจิตใจจะต้องเคารพนับถือชื่นชมยินดีในความประพฤติชั่วช้าเลวทรามของผู้นั้นด้วย

ถ้าไม่เคารพนับถือชื่นชมยินดีในความประพฤติชั่วช้าเลวทรามของเขา เราจะกลายเป็นคนบกพร่อง – ไม่ใช่เช่นนั้นเลย

ลูกที่ดีมีปัญญา เมื่อเห็นพ่อแม่ทำผิดทำชั่ว นอกจากจะไม่พลอยชื่นชมยินดีแล้ว ยังจะต้องหาวิธีให้สติพ่อแม่อีกด้วย

ไม่ใช่แสดงความเคารพด้วยการปล่อยให้พ่อแม่ทำชั่วต่อไป หรือพลอยชื่นชมยินดีไปกับการทำชั่วของพ่อแม่

จะให้สติพ่อแม่ได้อย่างไร ก็ใช้สติปัญญากันตริตรองกันเอาเถิด

ถ้ายังนึกไม่ออก ไปหา นิทานเรื่องไล่ควายเข้าไห มาศึกษาไปพลางๆ ก็ได้

นี่ขั้นที่หนึ่ง ขอให้ช่วยกันแสดงความรังเกียจคนโกง

ต่อไปขั้นที่สอง ขอให้ช่วยกันปฏิเสธคำอ้างที่ว่า 

ข้าพเจ้ามาจากการเลือกตั้ง” 

และ “รัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้ง

ขอให้ช่วยกันแสดงให้เห็นว่า แค่คำอ้างว่า “มาจากการเลือกตั้ง” นั้นไม่สมควรที่จะเชื่อถือได้อีกแล้ว เพราะการเลือกตั้งโกงกันได้ และได้โกงกันแล้ว

นักการเมืองคนไหนชนะเลือกตั้งมาโดยสุจริต ก็มีภาระที่จะต้องพิสูจน์ความสุจริตให้ประจักษ์ แต่ไม่ใช่ด้วยการกล่าวอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง

ถ้าท่านอยู่รวมกับพรรคที่โกง ก็เป็นข้อพิสูจน์ไปแล้วว่าท่านไม่สุจริต

เวลานี้นักการเมืองยกเอาคำว่า “ข้าพเจ้ามาจากการเลือกตั้ง” ขึ้นมาอ้างเสมือนเป็นคาถาวิเศษ เป็นนะจังงัง 

และคนทั้งโลกก็พากันจังงัง พากันหลงเชื่อ ลืมนึกถึงคำว่า “โกง” อันเป็นความจริงที่ละไว้ฐานเข้าใจ

ต้องประกาศให้ชัดเจนครับ ว่า คำว่า “ข้าพเจ้ามาจากการเลือกตั้ง” นั้นฟังไม่ขึ้นอีกต่อไปแล้ว 

ต้องมาจากการเลือกตั้งที่ไม่โกงอีกด้วย

และแม้จะมาจากการเลือกตั้งที่ไม่โกงก็ยังไม่พอ 

ต้องพิสูจน์กันด้วยการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างฉลาดและโดยบริสุทธิ์ใจอีกด้วย

ต้องพิสูจน์กันจนถึงปลายทางครับ 

ไม่ใช่พูดทิ้งๆ ไว้กลางทางว่ามาจากการเลือกตั้ง

เด็กที่สอบเข้าเรียนต่อได้ด้วยสติปัญญาสามารถของตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ไปโกงคะแนนในขณะเรียน และจะไม่ไปทำผิดอะไรอีก

เพราะฉะนั้น อย่าฟัง อย่าหลงเชื่อ และอย่ายอมให้นักการเมืองอ้างได้อีกต่อไป

หมดสมัยแล้วครับที่จะมาอ้างว่า “ข้าพเจ้ามาจากการเลือกตั้ง”

ขอให้ช่วยกันนิยามความหมายคำว่า “ข้าพเจ้ามาจากการเลือกตั้ง” ว่าหมายถึง “ข้าพเจ้ามาจากการโกงเลือกตั้ง” 

เพื่อให้นักการเมืองละอายใจที่จะพูดคำนี้อีกต่อไป

แต่ให้ไปตัดสินความดีของนักการเมืองกันที่การทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ 

แค่ผลการเลือกตั้งอย่างเดียว ไม่ใช่ และไม่พอครับ

สรุปว่า –

อย่างที่หนึ่ง ขอให้ช่วยกันแสดงความรังเกียจคนโกง

อย่างที่สอง ขอให้ช่วยกันปฏิเสธคำอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง

วิธีการทั้งสองนี้ไม่ต้องลงทุนอะไร ใช้เพียงแค่สำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ซึ่งย่อมจะมีกันอยู่แล้วทุกคน

ไม่ได้ไปเบียดเบียนใครเลย 

และไม่ได้ทำเพราะความโกรธเกลียดใครเป็นส่วนตัว

ลงมือกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลยครับ ไม่ต้องรอใคร

……………

ต่อไปนี้เป็นคำขอร้องพิเศษครับ

ท่านที่ออกมาประณามผู้ชุมนุมว่าเลวทราม และร้องขอให้พูดกันดีๆ ให้เอาชนะกันด้วยความดี ไม่ใช้วิธีรุนแรง 

ตอนนี้เป็นโอกาสของท่านแล้ว ขอให้ใช้ความสามารถบอกออกมาว่า วิธีเอาชนะกันด้วยความดีนั้นต้องทำอย่างไร

ท่านที่ออกมาฟ้องว่า การชุมนุมทำให้เศรษฐกิจของชาติฉิบหายป่นปี้ เกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าเท่านั้นหมื่นล้านแสนล้าน 

ตอนนี้เป็นโอกาสของท่านแล้วที่จะช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดความฉิบหายแบบนั้นอีก

ขอให้ออกมาช่วยกันบอกว่าจะต้องทำอย่างไร

ท่านที่ออกมาด่าว่าสีนั้นเลวอย่างนี้ สีนี้เลวอย่างนั้น ตอนนี้เป็นโอกาสของท่านแล้วที่จะออกมาช่วยกันบอกสีที่ท่านเห็นว่าเลว – คือบอกว่าอย่าทำต้นเหตุแห่งความเลวอีก คืออย่าโกงอีก

และคำพูดพวกนี้จำได้ไหมครับ 

….

ขอให้ใจเย็นๆ

ขอให้ถอยออกมาคนละก้าว

ขอให้แก้ปัญหาด้วยการเจรจากัน ไม่ใช่ด้วยการใช้กำลัง

ขอให้นึกถึงความเสียหายของประเทศชาติ

จะทะเลาะเบาะแว้งให้เลือดคนไทยด้วยกันทาลงบนแผ่นดินไทยเพื่ออะไร??

ประเทศชาติบอบช้ำมาพอแล้ว อย่าซ้ำเติมอีกเลย

คุณบอกว่าจะทำความดี แต่คุณไปทำร้ายคนชั่ว คุณมีสิทธิ์อะไรที่ไปทำร้ายเขา

ฉันก็เป็นหนึ่งเสียงที่เลือกเข้ามา คุณอ้างประชาธิปไตย คุณก็ต้องเกรงใจหนึ่งเสียงของฉันบ้าง

ฯลฯ

ฯลฯ

ท่านที่ออกมาตักเตือน ขอร้อง วิงวอน ด้วยถ้อยคำที่ไพเราะเหล่านี้ ตอนนั้นไม่มีใครฟังเพราะเลือดกำลังเข้าตา 

แต่ตอนนี้ทุกคนมีเวลาที่จะฟังแล้ว 

เป็นโอกาสของท่านแล้วครับที่จะออกมารุมกันเตือน ขอร้อง วิงวอนให้อึกทึกครึกโครม

บอกไปเลยว่า ถ้าคุณซื้อสิทธิ์ขายเสียงโกงการเลือกตั้งกันอีก คุณก็กำลังจุดไม้ขีดเผาบ้านเผาเมืองกันอีกแล้ว 

คุณกำลังสร้างความฉิบหายให้บ้านเมืองกันอีกแล้ว

ออกมาเลยครับ มาช่วยกันร้องเอะอะตั้งแต่ตอนนี้เลยครับ

และโดยเฉพาะพระเดชพระคุณทั้งปวงที่อยู่ในฝ่ายพุทธจักร 

ที่เคยขอบิณฑบาต 

หรือที่เคยขึ้นเวทีแสดงธรรมว่า อาณาจักรอยู่ไม่ได้ ศาสนาก็อยู่ไม่ได้ 

หรือที่เคยปลงธรรมสังเวชในพฤติการณ์พฤติกรรมของฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ในช่วงเวลาที่กำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่นั้น 

ตอนนี้เป็นโอกาสของพระคุณท่านแล้วขอรับที่จะค้นคว้าพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องแท้จริงของพระพุทธเจ้าแล้วนำออกมาแสดงเพื่อระงับยับยั้งมิให้มีการโกงกินบ้านเมืองกันอีก 

ขออาราธนาตั้งแต่ ณ บัดนี้เลย 

ขอให้ถือว่าเป็นกิจพระศาสนาชนิดเร่งด่วนพิเศษด้วยขอรับ

เหตุการณ์ที่แล้วมาอุปมาเหมือนกลางคืน เห็นคนมาด้อมๆ มองๆ อยู่ที่บ้านใกล้เรือนเคียง ดูท่าเหมือนขโมยกำลังจะงัดบ้าน

คนที่มองเห็นได้แต่ยืนดูเฉยๆ ไม่บอก ไม่เตือน

พอขโมยขนของ เจ้าของบ้านตื่นขึ้นมาร้องเอะอะ

กลับออกมาร้องบอกว่า เงียบๆ กันหน่อย หนวกหู เกรงใจชาวบ้านชาวช่องเขาจะหลับจะนอนกันมั่ง

อย่าทำอย่างนั้นอีกเลยขอรับ

ถ้าไม่ช่วยกันออกมาขอร้อง ออกมาเตือนกันตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้

พอถึงวันชุมนุมกันอีกเพราะผลอันเนื่องมาจากการโกงที่กำลังจะกระทำกันในวันนี้พรุ่งนี้ 

ก็อย่าออกมาแสดงโวหารอะไรเลยขอรับ

กว่าจะได้ฉันถั่ว โยมคงมีแต่งาไหม้ๆ ติดกัณฑ์เทศน์

———-

ก่อนจบ เชิญฟังนิทานครับ – บวชนานนิทานเยอะ

กระรอกแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งพาลูกน้อยไปหากินบนต้นไม้ชายทะเล

ลูกพลัดตกจมลงไปในน้ำ

ด้วยความรักลูก ห่วงลูก กระรอกไต่ลงมาจากต้นไม้

เอาหางจุ่มลงไปในทะเล แล้ววิ่งขึ้นมาสะบัดบนฝั่ง

เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า 

ด้วยความหวังว่าน้ำทะเลจะแห้ง แล้วจะได้ลูกคืนมา

……….

จะตำหนิความเขลาของกระรอกก็ได้

แต่คงตำหนิความเพียรของกระรอกไม่ได้

ตอนนี้กระรอกกำลังวิดน้ำทะเลอยู่ครับ

ใครที่คิดว่าฉลาดกว่ากระรอก วานบอกหน่อย

ทำวิธีไหนคนโกงจึงจะหมดโอกาสเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ?

๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๖

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้