โคตรเหง้าศักราช (บาลีวันละคำ 4,833)

โคตรเหง้าศักราช
เก่าแก่นานไกลเป็นใครก็ไม่รู้
อ่านว่า โคด-เง่า-สัก-กะ-หฺลาด
ประกอบด้วยคำว่า โคตร + เหง้า + ศักราช
(๑) “โคตร”
อ่านว่า โคด บาลีเป็น “โคตฺต” อ่านว่า โคด-ตะ มาจากรากศัพท์ดังนี้ –
(1) โค (ชื่อ, ความรู้, ชื่อเสียง) + ตา (ธาตุ = รักษา) + อ (อะ) ปัจจัย, ซ้อน ต, ลบสระที่สุดธาตุ (ตา > ต)
: โค + ตา = โคตา > โคต + อ + ต = โคตฺต แปลตามศัพท์ว่า “เชื้อสายที่รักษาชื่อและความรู้ไว้” “เชื้อสายที่รักษาชื่อเสียงไว้”
(2) คุปฺ (ธาตุ = รักษา, คุ้มครอง) + ต ปัจจัย, ลบสระที่สุดธาตุ, แผลง อุ ที่ คุ-(ปฺ) เป็น โอ (คุปฺ > โคปฺ), แปลง ป เป็น ต
: คุปฺ + ต = คุปฺต > โคปฺต > โคตฺต แปลตามศัพท์ว่า “เชื้อสายอันเขาคุ้มครองไว้”
“โคตฺต” หมายถึง เชื้อสาย, วงศ์, ตระกูล, เทือกเถาเหล่ากอ, เผ่าพันธุ์ (ancestry, lineage)
“โคตฺต” ในบาลี เป็น “โคตฺร” ในสันสกฤต
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“โคตฺร : (คำนาม) ‘โคตร์,’ กุล, วงศ์, วงศาวลี, สันตติ, ญาติ; นาม, ชื่อ; อรัณย์, ป่า; เกษตร์, นา; ฉัตร, ร่ม; มารค, ทาง; ความรู้ถึงอนาคตกาล, ความล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต; เภท, ประเภท, ชนิด; ชาติ์, วรรค, อุปศาขาหรือประวิภาคชาติ์ลงเปนวงศ์, เช่นในวงศ์พราหมณ์พึงนับได้ยี่สิบสี่โคตร์, คาดกันว่าเกิดจากและได้นามตามประสิทธาจารย์, ดุจศาณฺฑิลฺย (โคตร์), กาศฺยป (โคตร์), เคาตม (โคตร์), ภรัชฺวาชฺ (โคตร์), ฯลฯ; วรรธนะ, วรรธนการ; ธน, ทรัพย์, สมบัติ; ภูมณฑล, โลก; โคกุล, ฝูงโค; บรรพต; family, race, lineage, kin; a name, an appellation; a forest; a field; an umbrella or parasol; a road, a way; knowledge of futurity, inspiration; genus, a class or species; a caste, a tribe, a subdivision of tribe into families, as in that of the Brahman twenty-four Gotras are reckoned, supposed to be sprung from and named after celebrated teachers, as Śâṇḍilya (gotra), Kâśyapa (gotra), Gautama (gotra), Bharadwâj (gotra), &c.; increase; wealth, riches, property; the earth; a herd of kine; a mountain.”
“โคตฺต” ในบาลี ภาษาไทยใช้ตามรูปสันสกฤตเป็น “โคตร”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“โคตร, โคตร– : (คำนาม) วงศ์สกุล, เผ่าพันธุ์, ต้นสกุล, เช่น โคตมโคตร; คำนี้บางทีก็นำไปใช้ในความหมายไม่สุภาพหรือเป็นคำด่า เช่น ก่นโคตร. (ส. โคตฺร; ป. โคตฺต ว่า โรงวัว, คอกวัว, วงศ์, ตระกูล)”
เนื่องจาก “โคตร” มักมีการสืบสาวไปจนถึงรากเหง้าหรือเทือกเถาเหล่ากอ คำนี้จึงมีนัยหมายถึงการเข้าถึงจุดใจกลางหรือที่สุดของสิ่งนั้น ๆ ในภาษาปากจึงนิยมใช้ในความหมายว่า ลึกซึ้งที่สุด มากที่สุด หนักหนาสาหัสที่สุดของสิ่งนั้น ๆ
(๒) “เหง้า”
อ่านว่า เง่า เป็นคำไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เหง้า : (คำนาม) ลำต้นที่อยู่ใต้ดินของพืชบางชนิด เช่น ขิง กระวาน ที่จมอยู่ใต้ดิน; ต้นเดิม, ต้นวงศ์.”
(๒) “ศักราช”
ต้นเค้าเดิมของคำนี้มาจากคำว่า “ศก” (สะ-กะ)
บทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 และ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553 มีข้อความสรุปได้ว่า –
คำว่า “ศก” มาจากคำภาษาสันสกฤตว่า “ศก” (สะ-กะ) เป็นชื่อราชวงศ์ที่มีอำนาจปกครองอินเดียโบราณทางตอนเหนือระหว่างพุทธศตวรรษที่ 7 ถึงพุทธศตวรรษที่ 9 อาณาจักรของราชวงศ์ศกะ ปัจจุบันอยู่ในแคว้นคุชราษฏร์ พระราชาพระองค์หนึ่งในราชวงศ์นี้ทรงพระนามว่าพระเจ้าศาลิวาหนะ (สา-ลิ-วา-หะ-นะ) เป็นผู้ริเริ่มนำชื่อราชวงศ์ คือ ศกะ มาใช้เป็นชื่อเรียกปี และเกิดคำว่า “ศกราช” (สะ-กะ-รา-ชะ) แปลว่า “พระราชาแห่งราชวงศ์ศกะ”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน มีคำว่า “ศก” บอกไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“ศก : (คำนาม) อธิราช; วิเศษวรรณ, ผู้สันตติของศกหรือศาลิวาหน; ประเทศ; นิวาสิน; กาล, วิศิษฏกาล; a sovereign; a particular caste, the descendants of Śaka and Śālivāhana; a country; the inhabitants; an era.”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บคำว่า “ศก” ในความหมายนี้เป็น “ศก ๒” บอกไว้ดังนี้ –
…………..
ศก ๒ : (คำนาม)
(๑) ระบบการคำนวณนับเวลาเรียงลำดับกันเป็นปี ๆ โดยถือเอาเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ดังในคำว่า รัตนโกสินทรศก ซึ่งถือเอาปีเริ่มสร้างกรุงรัตนโกสินทร์เป็นจุดเริ่มต้น, บางทีก็ใช้เป็นคำย่อของศักราช เช่น พุทธศก คริสต์ศก (ส.).
(๒) คำเรียกปีหนึ่ง ๆ ของจุลศักราช เพื่อให้ทราบว่าเป็นปีที่ลงท้ายด้วย ๑ ๒ … หรือ ๐ เช่น ถ้าลงท้ายด้วย ๑ เรียกว่า เอกศก ลงท้ายด้วย ๒ เรียกว่า โทศก … ลงท้ายด้วย ๐ เรียกว่า สัมฤทธิศก (ส.).
(๓) ปี เช่น ศกนี้ ศกหน้า วันเถลิงศก. (ส.).
…………..
“ศกราช” (จากคำว่า “ศก” ข้างต้น) ภาษาไทยใช้เป็น “ศักราช” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ศักราช : (คำนาม) อายุเวลาซึ่งกำหนดตั้งขึ้นเป็นทางการ เริ่มแต่จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นที่หมายเหตุการณ์สำคัญ เรียงลำดับกันเป็นปี ๆ ไป เช่น พุทธศักราช ๑, ๒, ๓, … จุลศักราช ๑, ๒, ๓, … (ตามความนิยมที่ใช้เป็นธรรมเนียมกันมา, คำ ศักราช ในคำเช่น พุทธศักราช คริสต์ศักราช จะใช้ว่า ศก เป็น พุทธศก คริสต์ศก ก็ได้ แต่คำเช่น มหาศักราช จุลศักราช ไม่นิยมใช้ว่า มหาศก จุลศก ส่วนคำว่า รัตนโกสินทรศก ไม่นิยมใช้ว่า รัตนโกสินทรศักราช), (ภาษาปาก) โดยปริยายหมายความว่า ช่วงใดช่วงหนึ่งซึ่งเริ่มต้นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตบุคคล เช่น เริ่มศักราชแห่งชีวิตใหม่ พอเรียนหนังสือจบก็เริ่มศักราชของการทำงาน.”
การประสมคำ :
๑ โคตร + เหง้า = โคตรเหง้า เป็นคำประสมแบบไทย เข้าลักษณะคำซ้ำซ้อน เพราะทั้ง “โคตร” และ “เหง้า” มีความหมายเหมือนกัน (โคตร = ต้นสกุล, เหง้า = ต้นเดิม, ต้นวงศ์)
๒ โคตรเหง้า + ศักราช = โคตรเหง้าศักราช เป็นคำประสมแบบไทย เข้าลักษณะคำสร้อยสี่พยางค์
ขยายความ :
คำสร้อยสี่พยางค์ เช่น ถ้วยโถโอชาม ถ้วยชามรามไห ถนนหนทาง เสื่อสาดอาสนะ บ้านช่องห้องหอ ฯลฯ
ลักษณะพิเศษของคำสร้อยสี่พยางค์ก็คือ มักเป็นคำคล้องจองกัน มีความหมายไปในทางเดียวกัน แต่ 2 พยางค์หลังอาจมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
“โคตรเหง้าศักราช” มีลักษณะเป็นคำสร้อยสี่พยางค์ “โคตรเหง้า” หมายถึง ต้นสกุล, ต้นวงศ์, ต้นเดิม “ศักราช” หมายถึง เวลาที่ผ่านมายาวนาน
“โคตรเหง้าศักราช” จึงหมายถึง คน (หรือสิ่งใด ๆ ก็ตาม) ที่เป็นเหตุต้นเรื่องเป็นคนเก่าแก่มาแต่ครั้งไหน ๆ นานนักหนามาแล้วจนไม่มีใครรู้จัก
คำว่า “โคตรเหง้าศักราช” มักใช้ในทางไม่ดี เช่น ไอ้คนระยำที่สร้างปัญหานี้เป็นใครมาจากไหนก็ไม่มีใครรู้จักโคตรเหง้าศักราชของมัน
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ถ้าโคตรเป็นคนคด
ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องคดตามโคตร
: แต่ถ้าโคตรเป็นตรง
นี่สิเราควรจะตรงตามโคตร
#บาลีวันละคำ (4,833)
5-9-68
…………………………….
…………………………….
