ประจุขาด (บาลีวันละคำ 4,835)

ประจุขาด
คำไทยที่พาดไปหาคำบาลี
“ประจุขาด” เป็นคำไทย อ่านตรงตัวว่า ปฺระ-จุ-ขาด
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ประจุขาด : (คำนาม) เรียกวิธีกล่าวคำลาสึกจากพระ.”
การสึกจากพระอันเป็นการสึกตามปกติ ภิกษุผู้สึกจะกล่าวคำลาสึก หรือลาสิกขา (“ลาสิกขา” ไม่ใช่ “ลาสิกขาบท”) ต่อหน้าภิกษุที่เป็นพยานว่า –
“สิกฺขํ ปจฺจกฺขามิ คิหีติ มํ ธาเรถ”
แปลว่า “ข้าพเจ้าขอลาสิกขา ท่านทั้งหลายจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นคฤหัสถ์”
บาลีแต่ละคำมีความหมายดังนี้ –
(๑) “สิกฺขํ”
อ่านว่า สิก-ขัง รูปคำเดิมคือ “สิกฺขา” อ่านว่า สิก-ขา รากศัพท์มาจาก สิกฺขฺ (ธาตุ = ศึกษา, เรียนรู้) + อ (อะ) ปัจจัย + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: สิกฺขฺ + อ = สิกฺข + อา = สิกฺขา
“สิกฺขา” แปลตามศัพท์ว่า “ข้อปฏิบัติอันบุคคลพึงศึกษา” หมายถึง การศึกษา, การฝึก, สิกขาหรือวินัย (study, training, discipline)
สำหรับบรรพชิต “สิกฺขา” หมายถึงระบบวิถีชีวิตทั้งชีวิต เช่น คฤหัสถ์บวชเป็นภิกษุ นั่นคือการเข้าสู่ระบบสิกขา คือใช้ชีวิตเยี่ยงบรรพชิตตามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้
“สิกฺขา” แจกด้วยวิภัตตินามที่สอง (ทุติยาวิภัตติ) เอกวจนะ เปลี่ยนรูปเป็น “สิกฺขํ”
(๒) “ปจฺจกฺขามิ”
อ่านว่า ปัด-จัก-ขา-มิ เป็นคำกิริยาจำพวกกิริยาขยาต รากศัพท์มาจาก ปฏิ (คำอุปสรรค = เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ) + ขา (หรือ ขฺยา แล้วแปลงเป็น ขา) (ธาตุ = กล่าว, บอก) + อ ปัจจัยประจำหมวดธาตุ + มิ วิภัตติอาขยาต อุตตมบุรุษ เอกวจนะ, แปลง ปฏิ เป็น ปจฺจ แล้วซ้อน กฺ
: ปฏิ > ปจฺจ + กฺ + ขา = ปจฺจกฺขา + อ = ปจฺจกฺขา + มิ = ปจฺจกฺขามิ แปลว่า พูดเป็นปฏิปักษ์หรือขัดขวาง, คือ ไม่ยอมรับ, ปฏิเสธ, บอกปัด, ยกเลิก, บอกคืน, เลิกละ (to speak against, i. e. to reject, refuse, disavow, abandon, give up)
ในที่นี้ –มิ วิภัตติอาขยาต เป็นอุตตมบุรุษ (ในภาษาบาลีหมายถึงตัวผู้พูด) เอกวจนะ ประธานจึงต้องเป็น “อหํ” = ข้าพเจ้า (คนเดียว)
“สิกฺขํ ปจฺจกฺขามิ” เป็นประโยคสมบูรณ์ แปลว่า “ข้าพเจ้าขอบอกคืนสิกขา” หมายถึง บอกลาจากเพศภิกษุ คือสึกจากพระ
(๓) “คิหีติ”
อ่านว่า คิ-ฮี-ติ แยกศัพท์เป็น คิหิ + อิติ
(ก) “คิหิ” อ่านว่า คิ-หิ รากศัพท์มาจาก คห + อี ปัจจัย
(1) “คห” (คะ-หะ) รากศัพท์มาจาก คหฺ (ธาตุ = จับ, ยึด, ถือเอา) + อ ปัจจัย
: คหฺ + อ = คห (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ที่เก็บทรัพย์อันคนนำมาแล้ว” (คนหาทรัพย์มาเก็บไว้ที่นั่น จึงเรียกที่นั่นว่า คห = ที่เก็บทรัพย์) หมายถึง บ้าน (a house)
ศัพท์ที่ใกล้กันอีกคำหนึ่งคือ “เคห” (เค-หะ) รากศัพท์เหมือนกับ “คห” เพียงแต่แปลง อะ ที่ ค-(ห) เป็น เอ : คห > เคห
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “เคห” ว่า a dwelling, hut, house; the household (ที่อยู่อาศัย, กระท่อม, บ้าน; ครัวเรือน)
(2) คห + อี ปัจจัย, แปลง อ ที่ ค-(ห) เป็น อิ (คห > คิห), รัสสะ อี ปัจจัยเป็น อิ
: คห + อี = คหี > คิหี > คิหิ (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีเรือน” หมายถึง ผู้ครองเรือน, คฤหัสถ์, ฆราวาส (a householder, one who leads a domestic life, a layman)
(ข) “อิติ” เป็นคำจำพวกนิบาต ลักษณะพิเศษของคำนิบาตคือไม่แจกด้วยวิภัตติปัจจัย คงรูปเดิมอยู่เสมอ แต่ในกรณีที่สนธิกับคำอื่นอาจกลายรูปและเสียงได้ แต่เมื่อแยกคำแล้วยังคงเป็นรูปเดิม
ถ้าจะแสดงรากศัพท์ ท่านว่า “อิติ” มาจาก อิ (ธาตุ = ไป) + ติ ปัจจัย
: อิ + ติ = อิติ แปลตามศัพท์ว่า “การไป” “สิ่งที่ไป” “สิ่งเป็นเครื่องไป”
ตำราบาลีไวยากรณ์ที่นักเรียนบาลีในเมืองไทยใช้เรียน แปล “อิติ” เป็นไทยว่า –
(1) เพราะเหตุนั้น, เพราะเหตุนี้
(2) ว่าดังนี้
(3) ด้วยประการนี้
(4) ชื่อ
(5) คือว่า
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ไม่ได้แปล “อิติ” เป็นภาษาอังกฤษแบบคำตรงๆ แต่บอกไว้ว่า –
(1) “thus” (เช่นนั้น)
(2) “thus, in this way” (เช่นนั้น, ในทำนองนี้)
(3) “so it is that” (เรื่องเป็นเช่นนี้คือ)
คิหิ + อิติ = คิหีติ แปลว่า “ว่า ‘เป็นคฤหัสถ์’ ดังนี้”
(๔) “มํ”
อ่านว่า มัง เป็นปุริสสรรพนาม (ปุ-ริ-สะ-สับ-พะ-นาม) แทนตัวผู้พูด บาลีไวยากรณ์เรียกว่า “อุตตมบุรุษ” รูปคำเดิมคือ “อมฺห” อ่านว่า อำ-หะ หรือจะออกเสียงเป็น อำ-หฺมะ ก็ได้ นักเรียนบาลีเรียกติดปากว่า “อมฺห ศัพท์” เทียบคำอังกฤษคือ I (ไอ)
“อมฺห” แจกด้วยวิภัตตินามที่สอง (ทุติยาวิภัตติ) เอกวจนะ เปลี่ยนรูปเป็น “มํ” แปลว่า “ซึ่งข้าพเจ้า” (me)
(๕) “ธาเรถ”
อ่านว่า ทา-เร-ถะ เป็นคำกิริยาจำพวกกิริยาอาขยาต รากศัพท์มาจาก ธรฺ (ธาตุ = ทรงไว้) + เณ ปัจจัย, ลบ ณ (เณ > เอ) + ถ วิภัตติอาขยาตหมวดปัญจมีวิภัตติ พหุวจนะ, ทีฆะต้นธาตุ คือ อะ ที่ ธ-(รฺ) เป็น อา (ธรฺ > ธาร)
: ธรฺ + เณ > เอ = ธเร + ถ = ธเรถ > ธาเรถ แปลว่า “(ท่านทั้งหลาย) จงจำไว้”
แปลยกศัพท์ :
(อหํ = อันว่าข้าพเจ้า)
ปจฺจกฺขามิ = ย่อมบอกคืน > ขอบอกคือ > ขอลา
สิกฺขํ = ซึ่งสิกขา
(ตุมฺเห = อันว่าท่านทั้งหลาย)
ธาเรถ = จงจำ
มํ = ซึ่งข้าพเจ้า
คิหีติ = ว่าเป็นคฤหัสถ์ ดังนี้
= ข้าพเจ้าขอลาสิกขา ท่านทั้งหลายจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นคฤหัสถ์
ขยายความ :
ภิกษุเมื่อจะลาสิกขา กล่าวคำลาสิกขาด้วยข้อความบทใดบทหนึ่งต่อไปนี้ ท่านว่า “สิกฺขา ปจฺจกฺขาตา = สิกขาเป็นอันถูกบอกลา” ถูกต้อง คือ –
…………..
(1) พุทฺธํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนพระพุทธเจ้า
(2) ธมฺมํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนพระธรรม
(3) สงฺฆํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนพระสงฆ์
(4) สิกฺขํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนสิกขา
(5) วินยํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนวินัย
(6) ปาติโมกฺขํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนปาติโมกข์
(7) อุทฺเทสํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนอุเทศ
(8 ) อุปชฺฌายํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนพระอุปัชฌายะ
(9) อาจริยํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนพระอาจารย์
(10) สทฺธิวิหาริกํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนพระสัทธิวิหาริก
(11) อนฺเตวาสิกํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนพระอันเตวาสิก
(12) สมานูปชฺฌายกํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ
(13) สมานาจริยกํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนพระผู้ร่วมอาจารย์
(14) สพฺรหฺมจารึ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกคืนพระเพื่อนพรหมจารี
…………..
โปรดสังเกตว่า คำที่ใช้บอกลาสิกขามีหลากหลายถึง 14 คำ แต่ไม่มีคำว่า “สิกฺขาปทํ ปจฺจกฺขามิ = ข้าพเจ้าบอกลาสิกขาบท” รวมอยู่ด้วย
คำ “ประจุขาด” ที่เราพูดกันจึงเป็น “ลาสิกขา”
ไม่ใช่ “ลาสิกขาบท”
…………..
ดูก่อนภราดา!
ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า –
: ทำไม่ได้ อย่าเข้าไป
: ทำไม่ไหว ถอยออกมา
#บาลีวันละคำ (4,835)
7-9-68
…………………………….
…………………………….
