คุณสมบัติของผู้ปกครองประเทศ

คุณสมบัติของผู้ปกครองประเทศ
———————————–
หลังจากผมเขียนคำว่า “รัฏฐาธิปัตย์” ในบาลีวันละคำ ไปเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๗ คุณ Erbprem Vatcharangkul เพื่อนเฟซบุ๊ก ก็ขอความรู้ว่า “รัฏฐาธิปัตย์” กับ “ประชาธิปไตย” มีอะไรแตกต่างกันในแง่คำแปล-ความหมาย
—————-
ผมตอบไปว่า –
รัฏฐาธิปัตย์ แปลว่า “อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ” มักเข้าใจกันว่าหมายถึง “ผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ” เป็นคำพูดกลางๆ ไม่ระบุตัวบุคคล ใครมีอำนาจเด็ดขาดในบ้านเมือง คนนั้นแหละคือ “รัฏฐาธิปัตย์”
ส่วน “ประชาธิปไตย” เป็นคำที่ระบุตัวผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศว่า คือ “ประชาชน”
แต่คำว่า “ประชาชน” นั้นเป็นภาพลวงตา เพราะเอาเข้าจริง ผู้มีอำนาจสูงสุดตัวจริงก็จะต้องบุคคลคนใดคนหนึ่งอยู่นั่นเอง “ประชาชน” ไม่เคยมีอำนาจจริงๆ
ด้วยเหตุนี้พระพุทธศาสนาจึงมีคำสอนว่า ผู้มีอำนาจสูงสุดตัวจริงควรจะมีคุณสมบัติอย่างไร เพื่อให้ “ประชาชน” ผู้เป็นเจ้าของอำนาจตามทฤษฎี อยู่เย็นเป็นสุข
แต่ปรากฏว่า ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ผู้มีอำนาจสูงสุดตัวจริงของเมืองไทยไม่เคยมีคุณสมบัติอย่างที่พระพุทธศาสนาสอนไว้เลย
————
คุณ Erbprem Vatcharangkul อ่านคำตอบแล้วก็ขอให้ยกคำสอนที่ผมอ้างว่าเป็นคุณสมบัติของผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศว่ามีอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นแนวคิด
เพื่อสนองความปรารถนาของคุณ Erbprem Vatcharangkul ผมจะขอยกข้อความจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต มาเสนอไว้ ณ ที่นี้
หลักธรรมชุดนี้ หลายท่าน รวมทั้งตัวคุณ Erbprem Vatcharangkul เอง อาจจะเคยทราบ เคยศึกษามาก่อนแล้ว การนำมาเสนอในที่นี้อีกก็หวังให้เป็นประโยชน์สำหรับท่านที่ไม่เคยสดับมาก่อน ส่วนผู้ที่เคยสดับมาแล้วก็ถือว่าเป็นการทบทวนความรู้
เป็นอันว่าอย่างไรๆ ก็มีแต่ได้ประโยชน์
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต สรุปคำและความหมายของหลักธรรมชุดนี้ไว้อย่างกระชับ ชัดเจน และมีภาษาอังกฤษกำกับไว้ให้ด้วยสำหรับท่านที่อ่านคำอังกฤษแล้วเข้าใจความหมายได้แจ่มชัดขึ้น
ใครอ่านแล้วชอบ ก็ขอให้ขอบคุณ คุณ Erbprem Vatcharangkul ที่เป็นต้นเรื่อง โดยทั่วกัน เทอญ
——————-
ข้อความจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต มีดังต่อไปนี้ –
……………..
[326] ราชธรรม 10 หรือ ทศพิธราชธรรม (ธรรมของพระราชา, กิจวัตรที่พระเจ้าแผ่นดินควรประพฤติ, คุณธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง, ธรรมของนักปกครอง — virtues or duties of the king; royal virtues; virtues of a ruler)
1. ทาน (การให้ คือ สละทรัพย์สิ่งของ บำรุงเลี้ยง ช่วยเหลือประชาราษฎร์ และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ — charity; liberality; generosity)
2. ศีล (ความประพฤติดีงาม คือ สำรวมกายและวจีทวาร ประกอบแต่การสุจริต รักษากิตติคุณ ให้ควรเป็นตัวอย่าง และเป็นที่เคารพนับถือของประชาราษฎร์ มิให้มีข้อที่ใครจะดูแคลน — high moral character)
3. ปริจจาคะ (การบริจาค คือ เสียสละความสุขสำราญ เป็นต้น ตลอดจนชีวิตของตน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง — self-sacrifice)
4. อาชชวะ (ความซื่อตรง คือ ซื่อตรงทรงสัตย์ไร้มารยา ปฏิบัติภารกิจโดยสุจริต มีความจริงใจ ไม่หลอกลวงประชาชน — honesty; integrity)
5. มัททวะ (ความอ่อนโยน คือ มีอัธยาศัย ไม่เย่อหยิ่งหยาบคายกระด้างถือองค์ มีความงามสง่าเกิดแต่ท่วงทีกิริยาสุภาพนุ่มนวล ละมุนละไม ให้ได้ความรักภักดี แต่มิขาดยำเกรง — kindness and gentleness)
6. ตปะ (ความทรงเดช คือ แผดเผากิเลสตัณหา มิให้เข้ามาครอบงำย่ำยีจิต ระงับยับยั้งข่มใจได้ ไม่ยอมให้หลงใหลหมกมุ่นในความสุขสำราญและความปรนเปรอ มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ หรืออย่างสามัญ มุ่งมั่นแต่จะบำเพ็ญเพียร ทำกิจให้บริบูรณ์ — austerity; self-control; non-indulgence)
7. อักโกธะ (ความไม่โกรธ คือ ไม่กริ้วกราด ลุอำนาจความโกรธ จนเป็นเหตุให้วินิจฉัยความและกระทำกรรมต่างๆ ผิดพลาดเสียธรรม มีเมตตาประจำใจไว้ระงับความเคืองขุ่น วินิจฉัยความและกระทำการด้วยจิตอันราบเรียบเป็นตัวของตนเอง — non-anger; non-fury)
8. อวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียน คือ ไม่บีบคั้นกดขี่ เช่น เก็บภาษีขูดรีด หรือ เกณฑ์แรงงานเกินขนาด ไม่หลงระเริงอำนาจ ขาดความกรุณา หาเหตุเบียดเบียนลงโทษอาชญาแก่ประชาราษฎร์ผู้ใด เพราะอาศัยความอาฆาตเกลียดชัง — non-violence; non-oppression)
9. ขันติ (ความอดทน คือ อดทนต่องานที่ตรากตรำ ถึงจะลำบากกายน่าเหนื่อยหน่ายเพียงไร ก็ไม่ท้อถอย ถึงจะถูกยั่วถูกหยันด้วยคำเสียดสีถากถางอย่างใด ก็ไม่หมดกำลังใจ ไม่ยอมละทิ้งกรณีย์ที่บำเพ็ญโดยชอบธรรม — patience; forbearance; tolerance)
10. อวิโรธนะ (ความไม่คลาดธรรม คือ วางองค์เป็นหลักหนักแน่นในธรรม คงที่ ไม่มีความเอนเอียงหวั่นไหวเพราะถ้อยคำที่ดีร้าย ลาภสักการะ หรืออิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ใดๆ สติมั่นในธรรม ทั้งส่วนยุติธรรม คือ ความเที่ยงธรรม ก็ดี นิติธรรม คือ ระเบียบแบบแผนหลักการปกครอง ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ก็ดี ไม่ประพฤติให้เคลื่อนคลาดวิบัติไป — non-opposition; non-deviation from righteousness; conformity to the law)
ราชธรรม 10 นี้ พึงจดจำง่ายๆ โดยคาถาในบาลี ดังนี้
ทานํ สีลํ ปริจฺจาคํ อาชฺชวํ มทฺทวํ ตปํ
อกฺโกธํ อวิหึสญฺจ ขนฺติญฺจ อวิโรธนํ.
J.V.378. ขุ.ชา. 28/240/86.
(จบข้อความจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ฯ)
——————————–
ลองทบทวนดูว่า ผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองเมืองไทย คนไหนบ้างที่มีคุณสมบัติตามที่ปรากฏในคำสอนนี้
ไม่ต้องถึงกับมีครบทั้ง ๑๐ หรอก เอาแต่ที่เด่นเฉพาะข้อใดข้อหนึ่งก็ได้
ถ้าใครจะแย้งว่า นี่มันเป็นอุดมคติเท่านั้น ไม่มีในโลกแห่งความเป็นจริง
ก็โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าไม่ตรัสสอนสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้นะครับ
ถ้าผู้ปกครองประเทศทุกวันนี้ทำไม่ได้ (ซึ่งอันที่จริงคือทำได้ แต่ไม่ทำ) ก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่า ความประพฤติของผู้ปกครองบ้านเมืองของเราตกต่ำจากมาตรฐานไปเสียแล้ว
แต่อย่ามาบอกว่า นี่เป็นคำสอนที่ไม่มีใครทำได้
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของมนุษย์ โดยมนุษย์ และเพื่อมนุษย์
พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสสอนสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้
แถมให้อีกหน่อยครับ เป็นเรื่องต่อเนื่องกัน –
ใครที่เลื่อมใสทฤษฎีหรือลัทธิที่บอกว่า พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นปกครองสำหรับกล่อมเกลาหรือมอมเมาประชาชนให้ยอมสยบอยู่ใต้อำนาจ โดยเอาความสุขในชาติหน้าเป็นเครื่องหลอกล่อ แต่ตัวผู้ปกครองได้เสวยสุขในชาตินี้ –
ขอให้ลองพิจารณาหลักธรรมชุดนี้ด้วยใจที่มีธรรม
ถ้าไม่หูหนวกตาบอดจนเกินไป ก็จะเห็นได้เองว่า
พระพุทธศาสนาไม่ใช่เครื่องมือรับใช้ชนชั้นปกครอง
แต่แท้ที่จริงพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือสั่งสอนชนชั้นปกครองให้รับใช้ประชาชน
ถ้าจะตำหนิ ต้องตำหนิชนชั้นปกครองที่ไม่เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธศาสนา
ไม่ใช่มาตำหนิพระพุทธศาสนา
นักเลงจริง จะตีหัวใคร กรุณาตีให้ถูกคน
ไม่ใช่หลับหูหลับตาตีอย่างเดียว
๑๖ เมษายน ๒๕๕๗
Erbprem Vatcharangkul
11 เมษายน บริเวณ Bang Kapi
อ. ทองย้อยนาวาเอกทองย้อย แสงสินชัยขอรับ
ขอความรู้สักนิดครับ ว่า นอกจากสะกดไม่เหมือนกันแล้ว
รัฏฐาธิปัตย์ กับ ประชาธิปไตย
มีอะไรแตกต่างกันในแง่คำแปล-ความหมาย
นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย
ขออภัยคุณ Erbprem Vatcharangkul ที่ตอบช้า
ความเห็นของผมมีดังนี้ครับ –
รัฏฐาธิปัตย์ แปลว่า “อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ” มักเข้าใจกันว่าหมายถึง “ผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ” เป็นคำพูดกลางๆ ไม่ระบุตัวบุคคล ใครมีอำนาจเด็ดขาดในบ้านเมือง คนนั้นแหละคือ “รัฏฐาธิปัตย์”
ส่วน “ประชาธิปไตย” เป็นคำที่ระบุตัวผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศว่า คือ “ประชาชน”
แต่คำว่า “ประชาชน” นั้นเป็นภาพลวงตา เพราะเอาเข้าจริง ผู้มีอำนาจสูงสุดตัวจริงก็จะต้องบุคคลคนใดคนหนึ่งอยู่นั่นเอง “ประชาชน” ไม่เคยมีอำนาจจริงๆ
ด้วยเหตุนี้พระพุทธศาสนาจึงมีคำสอนว่า ผู้มีอำนาจสูงสุดตัวจริงควรจะมีคุณสมบัติอย่างไร เพื่อให้ “ประชาชน” ผู้เป็นเจ้าของอำนาจตามทฤษฎี อยู่เย็นเป็นสุข
แต่ปรากฏว่า ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ผู้มีอำนาจสูงสุดตัวจริงของเมืองไทยไม่เคยมีคุณสมบัติอย่างที่พระพุทธศาสนาสอนไว้เลย
12 เมษายน เวลา 22:04 น. · ถูกใจ · 3
Erbprem Vatcharangkul
และ ถ้าหากอาจารย์จะกรุณา
ขอให้ยกคำสอนที่ว่าคุณสมบัติอย่างไร มาเปนแนวคิดด้วยครับ
12 เมษายน เวลา 22:37 น. · เลิกถูกใจ · 2
