บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

กฐิน : ความงามที่ถูกทำให้เป็นความทรามด้วยน้ำมือของคนรุ่นเรา

กฐิน : ความงามที่ถูกทำให้เป็นความทรามด้วยน้ำมือของคนรุ่นเรา

—————————————————

กฐินเป็นบุญที่มีอานิสงส์มาก มองในแง่ความงามตามทัศนะของผม กฐินมีความงามอยู่ ๒ อย่าง แต่ทุกวันนี้ถูกทำให้กลายเป็นความทรามด้วยน้ำมือของคนรุ่นเรา 

ความงาม ๒ อย่างของกฐิน คือ –

ความงามอย่างที่ ๑ กฐินคือผ้า หมายถึงฤดูกาลผลัดเปลี่ยนจีวรของภิกษุ งามด้วยความสามัคคีของสงฆ์

ปัจจุบัน กฐินคือเงิน ถูกทำให้ทรามด้วยความโลภของชาววัด 

วัดส่วนมากอยากได้เงินมาก ๆ จากการทอดกฐิน ใครไปจองกฐิน ก็จะถูกถามว่าจะมีเงินถวายเท่าไร ถ้าเงินน้อยก็จะบ่ายเบี่ยงไม่รับจอง อ้างว่า-ควรให้โอกาสแก่คนที่มีเงินถวายมากกว่า กลายเป็นว่าใครมีเงินน้อยจองกฐินไม่ได้

นอกจากนั้น ยังพยายามหาทางเพื่อให้ได้เงินเยอะ ๆ ด้วยวิธีฝืนพระวินัย

ตามหลักพระวินัย กฐินสำเร็จด้วยผ้าผืนเดียว หมายความว่า เมื่อสงฆ์รับผ้าจากเจ้าภาพรายหนึ่งหรือคณะหนึ่งแล้ว ก็สำเร็จเป็นการทอดกฐินเรียบร้อยแล้ว จะมีรายที่ ๒ ที่ ๓ อีกไม่ได้ 

ถ้าทำอย่างนี้ก็ได้เงินน้อย เพราะมีเจ้าภาพรายเดียวคณะเดียว 

จึงฝืนพระวินัยเอาดื้อ ๆ เช่น จัดกฐินเป็นกอง ๆ กองใครกองมัน จัดกฐินเป็นคณะ ๆ คณะใครคณะมัน แต่ละกองแต่ละคณะมีผ้ากฐิน-เครื่องกฐินของตัวเอง 

มีหลายกองก็ได้เงินมากขึ้น 

มีหลายคณะก็ได้เงินมากขึ้น

จากกฐินคือผ้า กลายเป็นกฐินคือเงิน

นี่คือความงามอย่างที่หนึ่งซึ่งถูกทำให้กลายเป็นความเสื่อมทรามด้วยน้ำมือของคนรุ่นเรา-เพราะความโลภ

……………………..

ความงามอย่างที่ ๒ กฐินมีการเลี้ยงอาหาร มีผู้เรียกว่าโรงทานงานกฐิน เป็นความงามตามธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ

คนสมัยนี้-ซึ่งไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาเรียนรู้เรื่องเก่าเค้าเดิมของตัวเอง พูดให้กระทบใจว่า-เป็นยุคสมัยที่คนไทยไม่รู้จักตัวเอง ผมแน่ใจว่าคนสมัยนี้ไม่รู้แล้วว่าการเลี้ยงอาหาร หรือโรงทานงานกฐินนี้มีความเป็นมาอย่างไร

โรงทานงานกฐินมีกำเนิดมาจากคตินิยมที่ถือว่า เจ้าภาพทอดกฐินเป็นแขก วัดเป็นเจ้าของบ้าน และธรรมเนียมไทยนั้นเมื่อมีแขกมาถึงบ้าน เจ้าของบ้านต้องต้อนรับ วิธีต้อนรับที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็คือเลี้ยงข้าวปลาอาหาร

คงนึกออกนะครับ บทกลอนที่ว่า –

………………………………….

………………………………….

เป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ

ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ

อย่างเลิศดีตามมีและตามเกิด 

ให้เพลินเพลิดกายากว่าจะกลับ

………………………………….

………………………………….

(ผมเข้าใจว่าเป็นพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๖ จากบทละครเรื่องพระร่วง ขอแรงญาติมิตรที่แม่น ๆ ช่วยยืนยันที่มาให้ทีนะครับ แต่ที่แน่ ๆ กลอนนี้ไม่ใช่บทเดียวกัน แต่เป็น ๒ วรรคท้ายของบทแรก และ ๒ วรรคแรกของบทหลัง ถ้าเอามาเขียนไว้ด้วยกัน ใครไม่สังเกตจะเข้าใจผิดว่าเป็นกลอนบทเดียวกัน)

สมัยผมเป็นเด็กวัดหนองกระทุ่ม อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี กฐินวัดหนองกระทุ่มวัดตั้งโรงครัวทุกปี

“ตั้งโรงครัว” แปลว่า ทางวัดหุงข้าวต้มแกงเลี้ยงเจ้าภาพกฐินและผู้คนที่มาช่วยงาน

ที่จำได้แม่นที่สุดก็คือ หุงข้าวกระทะ เพราะได้กินข้าวตังก้นกระทะเป็นประจำ

หุงข้าวใช้หม้อธรรมดาไม่ทันกิน เพราะคนมาก ต้องใช้กระทะหุงข้าว

หุงข้าวกระทะสมัยนั้นใช้ฟืน ไม่มีแก๊สไม่มีไฟฟ้าใช้ วิธีหุงมีกระบวนการขั้นตอนหลายอย่าง เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง

ผมเข้าใจว่า หุงข้าวกระทะใช้ฟืนน่าจะสูญหรือใกล้สูญแล้ว ผมอยากให้หน่วยงานเช่นกระทรวงวัฒนธรรมสอดส่องสืบเสาะหาคนที่หุงข้าวกระทะใช้ฟืนเป็น ให้มาถ่ายทอดวิชาไว้ จะได้ไม่สูญ นี่คือสมบัติวัฒนธรรมที่ล้ำค่าของไทย

อย่ารอให้ฝรั่งมาสอนวิธีหุงข้าวกระทะใช้ฟืนให้คนไทยนะครับ

ระยะหลัง ๆ เพื่อลดภาระในการตั้งโรงครัว ทางวัดก็เปลี่ยนไปใช้วิธีขอ “ข้าวหม้อแกงหม้อ” จากชาวบ้าน

สมัยโน้น ทุกบ้านทุกครัวเรือนหุงข้าวทำกับข้าวกินเอง ทำข้าวหม้อแกงหม้อไปเลี้ยงงานกฐินถือว่าเป็นเรื่องปกติ บ้านผมสมัยโน้นก็ยังเคยทำ

จำเนียรกาลผ่านมาถึงสมัยนี้ เกิดมีร้านอาหารดกดื่น คนหันไปใช้วิธีซื้ออาหารกินประจำวัน เรียกว่า “ทุกมื้อซื้อกิน” (ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณสมบัติของหญิงไทยเปลี่ยนไป จากเดิมหญิงไทยต้องเก่งการบ้านการเรือน งานหลักของการบ้านการเรือนก็คือหุงข้าวทำกับข้าวได้ เมื่อครอบครัวต่าง ๆ เปลี่ยนมาใช้ระบบทุกมื้อซื้อกิน ความจำเป็นที่จะต้องหุงข้าวทำกับข้าวกินเองก็หมดไป ความจำเป็นที่หญิงไทยจะต้องเข้าครัวหุงหาอาหารเป็นก็หมดไป ลูกสาวตามบ้านต่าง ๆ สมัยนี้เลิกพูดกันแล้วเรื่องการเข้าครัว คุณสมบัติของหญิงไทยสมัยนี้จึงเปลี่ยนไป)

ระบบข้าวหม้อแกงหม้อยังมีอยู่ แต่วิธีการเปลี่ยนไป คือเจ้าภาพใช้วิธีว่าจ้างร้านอาหารหรือผู้รับเหมาะจัดเลี้ยงมาเปิดร้านอาหารในงานกฐิน

จากเหตุผลที่วัดเป็นเจ้าของบ้านตั้งโรงครัวเลี้ยงเจ้าภาพทอดกฐินซึ่งถือว่าเป็นแขกและเลี้ยงคนมาช่วยงาน ก็กลายเป็นตั้งร้านอาหารเลี้ยงคนที่มาในงานกฐิน

“คนที่มาในงานกฐิน” ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะเจ้าภาพและชาวบ้านที่มาช่วยงาน 

ใครไปปรากฏตัวในวัดในวันที่มีการทอดกฐิน เรียกว่า “คนที่มาในงานกฐิน” ทั้งสิ้น

จึงเป็นที่รู้กันในปัจจุบันนี้ว่า วัดไหนมีงานทอดกฐิน วัดนั้นและวันนั้นมีอาหารกินฟรี

ปัจจุบันจึงปรากฏว่า มีบุคคลจำพวกหนึ่ง พอถึงหน้ากฐินก็เที่ยวสืบเสาะหาดูว่าวัดไหนทอดกฐินวันไหน พอถึงวันนั้นก็ยกพวกไปรุมกินฟรี

อาการที่ไปนั้นไม่ได้สนใจที่จะไปอนุโมทนาบุญกฐิน 

ไม่ได้สนใจที่จะไปบริจาคร่วมบุญกฐิน 

ไม่ได้สนใจที่จะไปช่วยงาน เป็นต้นว่าหยิบจับนั่นนี่ 

ไม่ได้สนใจแม้แต่จะยกมือไหว้พระในวัดด้วยซ้ำ 

แต่มุ่งไปกินโดยเฉพาะ 

วัดมักจะกำหนดว่า ร้านอาหารที่มาเปิดนั้นให้เปิดเลี้ยงได้เมื่อทอดกฐินเสร็จแล้ว หรือเลี้ยงได้เมื่อถึงเวลานั้นเวลานี้ แต่คนพวกที่มุ่งมากินนี้จะไม่รับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น พอเห็นร้านเปิดก็มาเร่งมารุมมาขอกินทันที

เชื่อหรือไม่ว่า บางวัดเจ้าภาพกฐินอดข้าว เพราะร้านที่มาเปิดเลี้ยงนั้นถูก “แขกดอย” รุมกินจนเกลี้ยง!

กินเสร็จก็ทำกิริยาที่ภาษาปากเรียกว่า “สะบัดตูด” ไม่มีแก่ใจที่จะช่วยหยิบจับเก็บกวาดใด ๆ ทั้งสิ้น บางที-และส่วนมาก-ทำสกปรกเลอะเทอะทิ้งไว้ในวัดอีกต่างหาก

บุคคลจำพวกดังกล่าวนี้สมควรแท้ที่จะขนานนามว่า “โจรกฐิน” ซึ่งนับวันนับปีจะมีชุกชุมขึ้น

“โจรกฐิน” เป็นโจรที่เกิดมาเพื่อทำลายธรรมเนียมอันดีงามของการเลี้ยงในงานบุญกฐินให้หมดคุณค่าลงไปโดยสิ้นเชิง-เหลือเพียงแค่ “งานกินฟรี” โดยไม่ได้รับรู้ถึงบุญกุศล และโดยไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น

…………………………………………………

ไม่ใช่อดไม่ใช่อยากใช่ยากไร้

เป็นโจรใหม่เกิดมาเฉพาะหน้ากฐิน

วัดไหนทอดดอดด้นล้นแผ่นดิน

ปล้นของกินเอาต่อหน้าเหมือนห่าลง

…………………………………………………

นี่คือความงามอย่างที่สองของบุญกฐินซึ่งถูกทำให้กลายเป็นความเสื่อมทรามด้วยน้ำมือของคนรุ่นเรา-เพราะความตะกละตะกลาม

……………………..

พฤติกรรมของโจรกฐินเช่นนี้ มีผู้ออกรับว่า ปีหนึ่งมีหนเดียว เรื่องกินไม่ควรจะหวงกัน

ผมว่าไม่ใช่เรื่องหวงกันหรือหวงกิน ร้านอาหารเอามาเปิดเพื่อให้กินฟรีอยู่แล้ว

แต่เป็นเรื่องนิสัยสันดานที่ควรแก่การรังเกียจอย่างยิ่ง 

ตรงนั้นต่างหากที่ควรมอง

…………………………………………………

เขาทำบุญทอดกฐินกันทั้งที 

ไม่มีที่จะไปช่วยอะไรสักนิด

ไม่มีแม้แต่จะคิดอนุโมทนา

ไปเพื่อจะไปยัด- ท่าเดียว

…………………………………………………

เราต้องการให้คนไทยมีลักษณะนิสัยอย่างนี้หรือครับ?

ลูกหลานไทยมีนิสัยแบบนี้ ไม่คิดจะอบรมสั่งสอนกันมั่งหรือครับ?

ถ้าลูกหลานเรามีนิสัยแบบนี้ เราจะภูมิใจหรือครับ?

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๗

๑๗:๕๙

…………………………………………………

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid027pTV5MxN8C7D7uC96ftPJXsgALbCX5QyBPbEPEpVksGGdgpUk6XwhZakVX9LKzKPl

…………………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้