กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๑๐)
————-
ข้อมูลจากคัมภีร์ยังมีอีก แต่ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อน นักเรียนบาลีท่านใดมีอุตสาหะและมีแก่ใจจะช่วยศึกษาค้นคว้าต่อไปอีก ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง เพื่อเป็นองค์ความรู้ร่วมกันในการตัดสินว่าอะไรอย่างไรคือกิจของสงฆ์หรือไม่ใช่กิจของสงฆ์
ที่เสนอมาเป็นข้อมูลจากคัมภีร์และแนวคิดของบูรพาจารย์ ต่อไปนี้จะเป็นแนวคิดของคนสมัยใหม่ตามที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมา
คนสมัยใหม่-ทั้งชาววัดและชาวบ้าน-มองระเบียบวินัยหรือหลักพระธรรมวินัยอย่างไร ขอนำมาเสนอพร้อมกับความคิดเห็นของผม ดังนี้
………………………
๑ พระต้องช่วยสังคม พระดีคือพระที่ช่วยสังคม สังคมอยู่ไม่รอด ศาสนาก็อยู่ไม่รอด พระจึงต้องช่วยให้สังคมอยู่รอด
แนวคิดนี้ยกเหตุผลขึ้นมาอ้างว่า พระพุทธศาสนาต้องอำนวยประโยชน์ให้สังคม วัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งอำนวยประโยชน์ให้สังคม พระต้องอยู่กับสังคม เพราะฉะนั้น ชาวบ้านต้องการอะไรอย่างไร พระจึงมีหน้าที่ตอบสนองความต้องการของชาวบ้าน
………………………
ผมมีข้อสังเกตว่า วัดที่มีคน “ขึ้น” หรือหลั่งไหลเข้าไปอย่างคับคั่งก็คือวัดที่สามารถตอบสนองความต้องการของชาวบ้านได้ดี ชาวบ้านเหล่านั้นไม่ได้เข้าวัดเพื่อแสวงหาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ส่วนใหญ่เข้าไปในวัดเพื่อไปรับการตอบสนองความต้องการของตนซึ่งวัดต่าง ๆ จัดไว้ให้
แล้วในที่สุดเราก็วัดความสำเร็จของวัดจากจำนวนผู้คนที่หลั่งไหลเข้าไปรับบริการตอบสนองความต้องการ
วัดที่ชักชวนคนให้ศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมมีคนเข้าวัดวันละเป็นสิบ
แต่วัดที่ทำพิธีกรรมตอบสนองความต้องการของชาวบ้านมีคนเข้าวัดวันละเป็นหมื่น
เมื่อเอาการตอบสนองความต้องการของชาวบ้านเป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จเช่นนี้ จึงเป็นภาพลวงตาลวงใจลวงความคิดว่า ผู้เข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์ทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการของชาวบ้านเป็นการถูกต้องแล้ว
แทนที่จะใช้หลักพระธรรมวินัยนำชาวบ้าน ก็กลายเป็นวิ่งตามกิเลสชาวบ้านไป
เราลืมไปว่า พระพุทธศาสนามิได้เกิดมีขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของชาวโลก
พระพุทธศาสนาเกิดมีขึ้นเพื่อเสนอหนทางปฏิบัติขัดเกลาตนเองให้แก่ชาวโลก ดังนั้น การเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์จึงไม่ใช่เข้ามาเพื่อทำงานตอบสนองความต้องการของชาวบ้าน แต่เข้ามาเพื่อปฏิบัติขัดเกลาตนเอง
ข้ออ้างที่ว่า-สังคมอยู่ไม่รอด ศาสนาก็อยู่ไม่รอด มีผู้ชูแนวคิดขึ้นมาล้อหลักคำสอน จะล้อจริงหรือล้อเล่น ก็ควรแก่การพิจารณา –
…………………………………………………
สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ
สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
สละธรรมเพื่อรักษาสังคม
…………………………………………………
แล้วสรุปว่า-ถ้าบ้านเมืองมีศึกสงคราม พระจะจับดาบจับปืนออกรบ ก็ย่อมเป็นการสมควร จะผิดธรรมผิดวินัยก็ให้ผิดไป เพราะนั่นคือ-สละธรรมเพื่อรักษาสังคม
…………………………………………………
ถามว่า-ออกรบทั้งผ้าเหลืองเลยหรือ สึกไม่ทันหรือ?
คนที่ออกรบได้ต้องเป็นพระเท่านั้นหรือ?
…………………………………………………
แนวคิด-พระต้องช่วยสังคม คงมีคนเห็นด้วยมาก ในเมืองไทยของเราพระที่ทำงานช่วยสังคมมีมาตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบันก็ยังมีอยู่ เป็นที่นับถือของคนทั่วไป
แต่ถ้าเอาหลักพระธรรมวินัยเข้าไปจับ แนวคิดนี้ก็ขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างเช่นในปฐมทารุขันธสูตรที่ยกมาให้ดูกันในตอนต้น ๆ

ขอนำมาทบทวนอีกที ดังนี้ –
………………………
มรรคผลนิพพานเปรียบเหมือนมหาสมุทร
พระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนแม่น้ำที่ไหลไปสู่มหาสมุทร
ผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนขอนไม้ที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ
ผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติขัดเกลาตนเองไม่เลิกละก็จะสามารถบรรลุถึงมรรคผลนิพพานได้ เปรียบเหมือนขอนไม้ที่ลอยอยู่ในแม่น้ำถ้าไม่ไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด ๆ หรือไม่มีเหตุใด ๆ เกิดขึ้น ก็จะสามารถลอยไปถึงมหาสมุทรได้
เหตุที่ทำให้ขอนไม้ลอยไปไม่ถึงมหาสมุทรมี ๘ อย่างคือ –
(๑) เข้ามาติดฝั่งนี้
(๒) เข้าไปติดฝั่งโน้น
(๓) จมลงกลางแม่น้ำ
(๔) เกยบก
(๕) ถูกมนุษย์เก็บเอาไป
(๖) ถูกอมนุษย์เก็บเอาไป
(๗) ถูกน้ำวนดูดไว้
(๘) ผุภายใน
ผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาไม่สามารถปฏิบัติขัดเกลาตนเองให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานได้ก็เพราะเหตุ ๘ ประการ คือ –
(๑) ติดข้องอยู่กับอายตนะภายใน = เข้ามาติดฝั่งนี้
(๒) ติดข้องอยู่กับอายตนะภายนอก = เข้าไปติดฝั่งโน้น
(๓) เพลิดเพลินอยู่กับความรื่นรมย์ต่าง ๆ (นันทิราคะ) = จมลงกลางแม่น้ำ
(๔) ถือตัวว่าเรามีเราเป็น (อัสมิมานะ) = เกยบก
(๕) คลุกคลีอยู่กับสังคม = ถูกมนุษย์เก็บเอาไป
(๖) ตั้งใจไปเกิดเป็นเทพ = ถูกอมนุษย์เก็บเอาไป
(๗) หมุนไปตามเบญจกามคุณ = ถูกน้ำวนดูดไว้
(๘) เป็นผู้ทุศีล = ผุภายใน
นี่เป็นความในปฐมทารุขันธสูตรที่ผมสรุปมาให้ดู
เฉพาะข้อ (๕) คลุกคลีอยู่กับสังคม = ถูกมนุษย์เก็บเอาไป ข้อความในพระสูตรท่านบรรยายไว้ดังนี้ –
…………………………………………………
กตโม จ ภิกฺขุ มนุสฺสคฺคาโห ฯ
ดูก่อนภิกษุ ถูกมนุษย์จับไว้เป็นไฉน?
อิธ ภิกฺขุ คิหีหิ สํสฏฺโฐ วิหรติ สหนนฺทิ สหโสกี
ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้คลุกคลี เพลิดเพลิน โศกเศร้าอยู่กับพวกคฤหัสถ์
สุขิเตสุ สุขิโต
เขาสุขก็สุขด้วย
ทุกฺขิเตสุ ทุกฺขิโต
เขาทุกข์ก็ทุกข์ด้วย
อุปฺปนฺเนสุ กิจฺจกรณีเยสุ อตฺตโน โยคํ อาปชฺชติ ฯ
เขามีกิจกรณีย์เกิดขึ้น ก็เอาตัวเข้าร่วมไปกับเขาด้วย
อยํ วุจฺจติ ภิกฺขุ มนุสฺสคฺคาโห ฯ
ดูก่อนภิกษุ นี้เรียกว่าถูกมนุษย์จับไว้
ที่มา: ปฐมทารุขันธสูตร สังยุตนิกาย สฬายตนวรรค
พระไตรปิฎกเล่ม ๑๘ ข้อ ๓๒๓
…………………………………………………
จะเห็นได้ว่า ตรงกับแนวคิดที่ว่า “พระต้องช่วยสังคม” ทุกประการ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระทำอย่างนี้ไปไม่ถึงจุดหมายของการบวช
แต่แนวคิดนี้บอกว่า พระทำอย่างนี้เป็นการช่วยสังคม พระดีคือพระที่ช่วยสังคม เพราะสังคมอยู่ไม่รอด ศาสนาก็อยู่ไม่รอด พระจึงต้องช่วยให้สังคมอยู่รอด
ความจริง แนวคิด “พระต้องช่วยสังคม” หรือพระดีคือพระที่ช่วยสังคมนี้ เท่ากับปฏิเสธแนวคิดในการออกบวชของพระพุทธเจ้าโดยตรงอีกต่างหาก
แนวคิดในการออกบวชของพระพุทธเจ้าคืออย่างไร?
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๔ กันยายน ๒๕๖๗
๑๗:๑๗
…………………………………………………
กิจของสงฆ์ (๑๐)
…………………………………………………
