กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๑๔)
————-
เสนอแนวคิดชาววัดชาวบ้านรุ่นใหม่เกี่ยวกับพระธรรมวินัยมาแล้ว ๒ ข้อ คือ ๑ พระต้องช่วยสังคม ๒ คำสั่งหมอสำคัญกว่าพระธรรมวินัย
ต่อไปเป็นข้อที่ ๓
………………………
๓ ศีลของพระท่านบัญญัติสำหรับอริยสงฆ์
สมมุติสงฆ์ไม่ปฏิบัติก็ไม่เสียหาย
………………………
แนวคิดนี้มีพระสนับสนุนคับคั่ง ดังคำที่พูดกันทั่วไป-อาตมาเป็นพระปุถุชน เพราะฉะนั้น อย่ามาเกณฑ์ให้ต้องทำอะไรเหมือนพระอริยะ อยากได้พระอริยะก็เชิญมาบวชเองเป็นเอาเองสิ
เมื่อเป็นพระปุถุชน เป็นสมมุติสงฆ์ อาตมาย่อมมีสิทธิ์ละเมิดสิกขาวินัยได้ทุกมาตรา รู้ไว้ด้วย!
คงไม่ถึงกับพูดอย่างนี้ทุกคำ แต่พฤติกรรมที่ปรากฏ ถ้าถอดเป็นคำพูดก็จะได้คำพูดประมาณนี้
………………………
ผมขอเชิญให้ศึกษาวัตถุประสงค์ในการบัญญัติพระวินัย ๑๐ ข้อ ที่พระพุทธองค์ผู้เป็นเจ้าของพระศาสนาทรงประกาศไว้ มีข้อไหนบ้างที่ยืนยันว่าทรงบัญญัติพระวินัยเพื่ออริยสงฆ์เท่านั้น
ไม่แน่ใจว่าพระเณรทุกวันนี้ท่านได้เรียนหรือเคยได้เรียนรู้ถึงวัตถุประสงค์ในการบัญญัติพระวินัยกันบ้างหรือเปล่า
วัตถุประสงค์ในการบัญญัติพระวินัย คำบาลีว่า “อตฺถวส” (อัด-ถะ-วะ-สะ) แปลตามศัพท์ว่า “อำนาจแห่งประโยชน์” แปลเป็นคำถามว่า ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อประโยชน์อะไร นั่นแหละคือความหมายของ “อตฺถวส”
วัตถุประสงค์ในการบัญญัติพระวินัย มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎกหลายแห่ง เช่น วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑ พระไตรปิฎกเล่ม ๑ ข้อ ๒๐, อังคุตรนิกาย ทสกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม ๒๔ ข้อ ๓๑ เป็นต้น
ในที่นี้ขอยกมาจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ซึ่งท่านประมวลความไว้ครบถ้วน มีทั้งภาษาบาลี ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฯ ข้อ [327] แสดงไว้ดังนี้
…………………………………………………
[327] วัตถุประสงค์ในการบัญญัติพระวินัย 10 เหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงปรารภหรือประโยชน์ที่ทรงประสงค์ ในการทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสงฆ์สาวก — Sikkhāpada-paññatti atthavasa: reasons for laying down the course of training for monks; purposes of monastic legislation.
ก. ว่าด้วยประโยชน์แก่สงฆ์หรือส่วนรวม
1. สงฺฆสุฏฺฐุตาย เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ คือ เพื่อความเรียบร้อยดีงามแห่งสงฆ์ ซึ่งได้ทรงชี้แจงให้มองเห็นคุณโทษแห่งความประพฤตินั้น ๆ ชัดเจนแล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นไว้โดยความเห็นชอบร่วมกัน — for the excellence of the unanimous Order.
2. สงฺฆผาสุตาย เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ — for the comfort of the Order.
ข. ว่าด้วยประโยชน์แก่บุคคล
3. ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก คือ เพื่อกำราบคนผู้ด้าน ประพฤติทราม — for the control of shameless persons.
4. เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งเหล่าภิกษุผู้มีศีลดีงาม — for the living in comfort of well-behaved monks.
ค. ว่าด้วยประโยชน์แก่ความบริสุทธิ์ หรือแก่ชีวิต ทั้งทางกายและทางใจ
5. ทิฏฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย เพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในปัจจุบัน คือ เพื่อระวังปิดทางความเสื่อมเสีย ความทุกข์ ความเดือดร้อน ที่จะมีในปัจจุบัน — for the restraint of the cankers in the present; for the prevention of temporal decay and troubles.
6. สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฏิฆาตาย เพื่อบำบัดอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในอนาคต คือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสื่อมเสีย ความทุกข์ความเดือดร้อน ที่จะมีมาในภายหน้าหรือภพหน้า — for warding off the cankers in the hereafter; for protection against spiritual decay and troubles.
ง. ว่าด้วยประโยชน์แก่ประชาชน
7. อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส — for the confidence of those who have not yet gained confidence.
8. ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว — for the increase of the confidence of the confident.
จ. ว่าด้วยประโยชน์แก่พระศาสนา
9. สทฺธมฺมฏฺฐิติยา เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัทธรรม — for the lastingness of the true doctrine.
10. วินยานุคฺคหาย เพื่ออนุเคราะห์วินัย คือ ทำให้มีบทบัญญัติสำหรับใช้เป็นหลักเกณฑ์จัดระเบียบของหมู่ สนับสนุนความมีวินัยให้หนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น — for the support of the discipline.
…………………………………………………
พิจารณาดูวัตถุประสงค์ทั้ง ๑๐ ข้อ จะไม่เห็นเลยว่า มีนัย หรือมีข้อส่อแสดงแฝงอยู่ตรงไหนว่า พระวินัยในพระพุทธศาสนานั้นท่านบัญญัติเพื่อให้พระอริยสงฆ์เท่านั้นปฏิบัติ พระสมมุติสงฆ์หรือพระปุถุชนไม่ต้องปฏิบัติ
ตรงกันข้าม กลับมีข้อส่อแสดงที่ชัดเจนว่า พระสมมุติสงฆ์หรือพระปุถุชนนั่นแหละที่ต้องปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง อย่างเช่น “ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย” ซึ่งท่านแปลว่า “เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก”
“ผู้เก้อ-ยาก” แปลจากคำบาลีว่า “ทุมฺมงฺกุ”
ทุ + มงฺกุ ซ้อน มฺ : ทุ + มฺ +มงฺกุ = ทุมฺมงฺกุ (ทุม-มัง-กุ)
“ทุ” มีความหมายว่า ชั่ว, ผิด, ยาก, ลําบาก, ทราม, การใช้ไปในทางที่ผิด, ความยุ่งยาก, ความเลว (bad, wrong, perverseness, difficulty, badness)
“มงฺกุ” หมายถึง “ผู้เขินอาย” (confused)
“ทุมฺมงฺกุ” จึงหมายถึง ยากที่จะเขินอาย ยากที่จะมีใครหรืออะไรมาทำให้เกิดความละอายแก่ใจ
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษแปล “ทุมฺมงฺกุ” ตามตัวว่า “staggering in a disagreeable manner” (ซวนเซอย่างไม่น่าดู) และบอกความหมายไว้ว่า evil-minded (จิตใจต่ำทราม)
………………………
ในสมัยหนึ่ง พระภิกษุที่ประพฤติชั่วหรือข้าราชการที่ทำการทุจริตต่าง ๆ ถ้ายังไม่มีใครรู้ความจริงก็อาจแสดงบทบาทอยู่ในสังคมได้เหมือนปกติ แต่เมื่อใดที่มีผู้รู้ความจริง เมื่อนั้นบุคคลชนิดนั้นก็จะละอายใจและหายหน้าไปจากสังคม นั่นคือสมัยที่บุคคลยัง “เก้อง่าย”
แต่ตกมาถึงสมัยนี้ บุคคลชนิดเช่นนั้น แม้จะมีผู้รู้ความจริง และเจ้าตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามีผู้รู้ความจริงแล้ว แต่แทนที่จะหายหน้าไปจากสังคม ก็กลับเชิดหน้าอยู่ในสังคมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่คือสมัยที่บุคคลเป็น “ทุมมังกุ” คือเก้อยาก หรือหน้าด้าน
………………………
พระอริยะท่านมีคุณธรรม ท่านมีความละอายแก่ใจเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จะมีพระวินัยบัญญัติไว้หรือไม่มี ท่านก็ไม่ประพฤตินอกกรอบอยู่แล้ว พระปุถุชนนั่นต่างหากที่จำเป็นจะต้องมีพระวินัยไว้ควบคุมกำกับดูแล
ข้อนี้ข้อเดียวก็ชัดแล้วว่า แนวคิดที่ว่า “ศีลของพระ ท่านบัญญัติสำหรับอริยสงฆ์ สมมุติสงฆ์ไม่ปฏิบัติก็ไม่เสียหาย” เป็นแนวคิดที่วิปลาสคลาดเคลื่อน
ยังมีหลักฐานอีกชิ้นหนึ่ง ที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจนว่า พระวินัยนั้นพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เพื่อสงฆ์พวกไหนกันแน่
ตอนหน้าจะยกมาให้ดูครับ
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๘ กันยายน ๒๕๖๗
๑๓:๑๗
…………………………………………………
กิจของสงฆ์ (๑๔)
…………………………………………………
