กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๑๗)
————-
ทบทวนนะครับ
เสนอแนวคิดชาววัดชาวบ้านรุ่นใหม่เกี่ยวกับพระธรรมวินัยมาแล้ว ๓ ข้อ
๑ พระต้องช่วยสังคม
๒ คำสั่งหมอสำคัญกว่าพระธรรมวินัย
๓ ศีลของพระท่านบัญญัติสำหรับอริยสงฆ์ สมมุติสงฆ์ไม่ปฏิบัติก็ไม่เสียหาย
ต่อไปเป็นข้อที่ ๔
………………………
๔ ยอมให้พระละเมิดสิกขาวินัยได้ คือคนใจกว้าง
เกณฑ์ให้พระปฏิบัติตามสิกขาวินัย คือคนใจแคบ
………………………
ผู้เสนอแนวคิดข้อนี้ยกพระราชจริยาวัตรรัชกาลที่ ๓ ขึ้นมาอ้าง นั่นคือเรื่องที่เล่ากันมาว่า พระไปเรียนบาลีที่ในพระบรมมหาราชวัง ระหว่างที่ครูสอนยังไม่มา พระก็ไปแอบเตะตะกร้อเล่นกัน เจ้าหน้าที่ไปฟ้องรัชกาลที่ ๓ ท่านตรัสว่า “เจ้ากูจะเล่นบ้างก็ช่างเจ้ากูเถิด”
เรื่องที่เล่ากันดังว่านี้ ผมเข้าใจว่าต้นเรื่องจริง ๆ คงมีบันทึกไว้เป็นเอกสารหลักฐาน อาจเป็นจดหมายเหตุหรืออะไรสักอย่างที่ท่านผู้ใดใครผู้หนึ่งบันทึกไว้ในครั้งกระนั้น มีผู้ไปอ่านพบแล้วนำมาเผยแพร่ แต่นำมาเฉพาะเค้าเรื่อง แต่ถ้อยคำสำนวนเต็ม ๆ ในต้นฉบับไม่ได้นำมาแสดง ต่อจากนั้นก็บอกเล่าถ่ายทอดต่อกันไปเรื่อย ๆ แต่ไม่มีใครเอ่ยอ้างถึงต้นฉบับ เข้าลักษณะ “ประวัติศาสตร์บอกเล่า” เท็จจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครยืนยัน อย่างดีก็ได้แต่อ้าง … ว่ากันว่า …
รายละเอียดที่ผิดเพี้ยนไปเรื่อย ๆ ก็อย่างเช่น –
ปากหนึ่งบอกว่า พระไปรอแปลหนังสือที่ระเบียงพระอุโบสถวัดพระแก้ว ครูยังไม่มาก็เลยแอบไปเตะตะกร้อด้านหลังพระอุโบสถ
ปากหนึ่งบอกว่า พระไปรอแปลหนังสือที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท หรือพระที่นั่งอะไรองค์หนึ่งแต่ไม่ใช่ระเบียงพระอุโบสถวัดพระแก้ว แล้วแอบไปเตะตะกร้อด้านหลังพระที่นั่งองค์นั้น
ถ้ามีปากต่อไป สถานที่อาจเปลี่ยนไปอีก
พระราชดำรัสตอบของรัชกาลที่ ๓ –
บางสำนวนว่า “เจ้ากูจะเล่นบ้างก็ช่างเจ้ากูเถิด”
บางสำนวนว่า “เจ้ากูจะเล่นบ้างจะเป็นไรไป”
อีกเรื่องหนึ่ง วัดพระเชตุพนฯ มีงานฉลอง คนไปดูงานกันเยอะ พระก็ไปดูด้วย เดินปะปนเบียดเสียดกับชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ไปฟ้องรัชกาลที่ ๓ ท่านตรัสว่า “ก็คนมันมาก มันก็ต้องเบียดกันบ้าง”
ตามเรื่องที่ยกมานี้สรุปว่า รัชกาลที่ ๓ เป็น “คนใจกว้าง” พระจะละเมิดสิกขาวินัยก็ไม่ว่าอะไร
และสรุปว่า คนที่เกณฑ์ให้พระปฏิบัติตามสิกขาวินัย เป็น “คนใจแคบ”

………………………
ในหนังสือ ประวัติคำกลอนสุนทรภู่ ของ พ. ณ ประมวลมารค (หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี) มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ สมัยที่ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ในรัชกาลที่ ๒ ขอคัดมาให้ดูดังนี้ –
…………………………………………………
ต่อมาประมาณกลางรัชกาลที่ ๒ เกิดมีการทอดบัตรสนเท่ห์กัน
นัยว่าสุนทรภู่ก็อยู่ในจำพวกที่ถูกสงสัย และเหตุที่ได้เข้ารับราชการก็เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงตรวจสำนวนบัตรสนเท่ห์ แล้วโปรดที่สุนทรภู่แต่ง ในจำพวกบัตรสนเท่ห์ที่ว่าทอดกันในสมัยนั้น มีโคลงจำกันได้บทหนึ่งว่า
๏ ไกรสรพระเสด็จได้ สึกชี
กรมเจษฎาบดี เร่งไม้
พิเรนแม่นอเวจี ไปคลาด
อาจพลิกแผ่นดินได้ แม่นแม้นเมืองทมิฬ ฯ
ความในโคลงว่า พระองค์เจ้าไกรสร (กรมหมื่นรักษ์รณเรศ) ซึ่งทรงกำกับกรมสังฆการีได้สึกสมเด็จอะไรก็ลืม และลงทัณฑ์โบยโดยกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นผู้ทรงเฆี่ยน สมเด็จที่ถูกสึกไปนั้นเป็นอาจารย์ของกรมหมื่นศรีสุเรนทร์ พระองค์จึงถูกไต่สวนว่าเป็นผู้แต่งโคลง และที่ในโคลงมีใช้คำว่า “ไป่” ซึ่งเป็นคำที่โปรดใช้อยู่เป็นนิจ ก็เลยถูกคุมขังแล้วประชวรสิ้นพระชนม์ ปีนั้นคือ พ.ศ. ๒๓๕๙
ที่มา: ประวัติคำกลอนสุนทรภู่ หน้า ๑๓๙
…………………………………………………
ตามความในหนังสือ ประวัติคำกลอนสุนทรภู่ ที่ยกมานี้ ใครที่เห็นว่ารัชกาลที่ ๓ เป็น “คนใจกว้าง” พระจะละเมิดสิกขาวินัยก็ไม่ว่าอะไร คงต้องคิดใหม่

………………………
มุมหนึ่งที่อาจจะลืมมองก็คือ การที่บอกว่ารัชกาลที่ ๓ เป็นคนใจกว้าง พระละเมิดสิกขาวินัยก็ไม่ว่าอะไร …
ถ้าเกิดมีใครเก็บเอาไปพูดต่อ แต่เปลี่ยนสำนวนว่า พระมหากษัตริย์ไทยใจดี สนับสนุนให้พระละเมิดสิกขาวินัย …
จะเกิดอะไรขึ้น?
จะเถียงเขาว่าอย่างไร?
จะบอกว่า-ฉันไม่ได้ว่าอย่างนั้นนนนน-ได้หรือ?
จะเป็นพระเกียรติยศแก่พระมหากษัตริย์ไทยกระนั้นหรือ?
ต้องคิดให้ดี
อันที่จริง ที่ว่ายอมให้พระละเมิดสิกขาวินัยได้ คือคนใจกว้าง เกณฑ์ให้พระปฏิบัติตามสิกขาวินัย คือคนใจแคบ-นี่ก็ต้องคิดให้ดี ใจกว้าง-ใจแคบเอาอะไรเป็นเกณฑ์
การปล่อยให้พระละเมิดสิกขาวินัย เป็นผลดีต่อพระพุทธศาสนาอย่างไรหรือจึงบอกว่าเป็นคนใจกว้าง
การขอให้พระปฏิบัติตามสิกขาวินัย เป็นผลเสียต่อพระพุทธศาสนาอย่างไรหรือจึงบอกว่าเป็นคนใจแคบ
จะอธิบายอย่างไรจึงจะสมเหตุสมผล
ผู้เสนอแนวคิดไม่ควรทำเพียงแค่แสดงแนวคิด
แต่ต้องแสดงเหตุผลด้วย
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๑๐ กันยายน ๒๕๖๗
๑๙:๐๑
…………………………………………………
กิจของสงฆ์ (๑๗)
…………………………………………………
