บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๑๙)

————-

แนวคิด-การตำหนิพระคือการจ้องจับผิด ผมมีข้อพิจารณาเพิ่มเติมดังนี้

………………………

คนส่วนมากมักแยกไม่ออกระหว่าง “จับผิด” กับ “ชี้โทษ”

จับผิด (รนฺธคเวสก) คือเรื่องยังไม่ปรากฏ แต่ไปเที่ยวขุดคุ้ยข้อบกพร่องของเขาขึ้นมาพูดเพื่อให้เขาเสียหาย-เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ

ชี้โทษ (วชฺชทสฺสี) คือข้อบกพร่องผิดพลาดปรากฏอยู่ตรงหน้าโต้ง ๆ ชัด ๆ แต่เจ้าตัวไม่รู้ หรืออาจไม่ทันรู้ตัว เราบอกให้เขารู้ด้วยความปรารถนาดี-เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ควรรู้กาละ เทศะ จังหวะเวลา

จับผิดกับชี้โทษเป็นการกระทำที่ดูเผิน ๆ แล้วคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน 

“จับผิด” หมายถึง มีคนทำผิด หรือทำไม่ผิด แต่เราเห็นว่าผิด เขาปกปิดการกระทำของเขาไว้ ไม่ต้องการให้ใครเห็น ไม่ต้องการให้ใครรู้ ไม่ต้องการให้ใครเอาไปเปิดเผย แล้วเราไปเที่ยวขุดคุ้ยเอามาเปิดเผย มีเจตนาจะประจานให้เขาเสียหายหรือได้รับความอับอาย

อย่างนี้คือ “จับผิด” 

“ชี้โทษ” หมายถึง มีคนทำผิด-อย่างน้อยก็ผิดตามความเข้าใจของเรา เขาทำโดยเปิดเผย เป็นที่รู้เห็นกันทั่วไป แทบทุกกรณีเป็นเรื่องที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ต้องการให้มีคนรู้เห็นกันมาก ๆ-เช่นการติดป้ายประกาศต่าง ๆ การประชาสัมพันธ์กิจการกิจกรรมของวัด ของสำนัก หรือการโฆษณาวาทะของเกจิอาจารย์ต่าง ๆ เป็นต้น ไม่ต้องไปเที่ยวขุดคุ้ยใด ๆ เลย เห็นตำตากันอยู่ทั่วไปเป็นสาธารณะ แล้วเราหยิบข้อผิดที่มีปรากฏในเรื่องนั้นขึ้นมาชี้ให้เห็น มีเจตนาที่จะให้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง

อย่างนี้คือ “ชี้โทษ” 

“จับผิด” นั้น โดยปกติแล้วท่านไม่ให้ทำ เป็นสิ่งไม่ดี จะมีบ้างบางกรณีเท่านั้นที่อาจจะทำได้ แต่ต้องรอบคอบ ข้อสำคัญต้องมีเจตนาสุจริตเป็นที่ตั้ง 

ส่วน “ชี้โทษ” นั้น ท่านแนะให้ทำ และสำหรับบางคนบางสถานะท่านว่า-ต้องทำ ไม่ทำมีโทษ เช่นพระอุปัชฌาย์อาจารย์เห็นสัทธิวิหาริกอันเตวาสิกประพฤติผิด ต้องทักท้วง ต้องห้ามปราม ต้องแนะนำ ต้องสั่งสอน ต้องขนาบ

การปล่อยปละละเลยไม่ว่าจะด้วยอ้างเหตุผลใด ๆ ก็ตาม ท่านอุปมาว่า-เหมือนเอาขยะมาทิ้งลงในพระศาสนา 

เวลานี้เราสับสนและเข้าใจผิดเรื่องจับผิดกับชี้โทษนี้กันทั่วไปหมด คือเห็นการชี้โทษเป็นการจับผิดไปหมดทุกเรื่อง แล้วก็ประทับตราไปหมดว่า “ไอ้นี่ดีแต่เที่ยวจับผิดชาวบ้าน”

ธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนเราคือ ไม่ชอบให้ใครมาชี้ข้อบกพร่อง ถ้าใครมาบอกว่า คำนี้คุณเขียนผิด เรื่องนี้คุณเข้าใจผิด งานนี้คุณทำผิด ฯลฯ คนส่วนใหญ่จะไม่พอใจ ทั้ง ๆ ที่ผิดจริง 

และธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนไทย คือ มักเกรงใจคนทำผิด ยิ่งถ้าผู้ทำผิดพลาดบกพร่องเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยแล้ว ยิ่งไม่กล้าแตะ

เมื่อเป็นเช่นนี้ คนทำผิดก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นผิด จึงยังคงทำผิดเรื่อยไปเพราะไม่รู้ ไม่มีใครเตือน ครั้นพอจะมีใครเตือน ก็ถูกสกัดด้วยคำว่า “เอาแต่จับผิดชาวบ้าน” เท่ากับช่วยกันปกป้องการทำผิดให้ดำรงอยู่และขยายตัวต่อไป

ท่านจำพวกหนึ่งอ้างว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้สนใจเรื่องของคนอื่น นิยมยกพุทธภาษิตมาอ้างสนับสนุนด้วย พุทธภาษิตที่ชอบยกขึ้นมาอ้างก็คือ –

…………………………………………………

น ปเรสํ วิโลมานิ 

น ปเรสํ กตากตํ 

อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย 

กตานิ อกตานิ จ. 

ที่มา: ปุปผวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๑๔ 

…………………………………………………

ส่วนมากอ้างพุทธภาษิต แต่ไม่ได้ศึกษารายละเอียด

ขอได้โปรดศึกษาเบื้องหลังของคำสอนที่อ้างนั้นสักนิด

คัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๓ เรื่องที่ ๓๘ (ปาฏิกาชีวกวตฺถุ) เล่าไว้ว่า – 

…………………………………………………

สตรีมีฐานะคนหนึ่งในเมืองสาวัตถีอุปถัมภ์บำรุงอาชีวก (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) คนหนึ่งเหมือนเป็นลูก ต่อมาเธอได้ยินเพื่อนบ้านสรรเสริญคุณของพระพุทธองค์ อยากจะไปเฝ้าบ้าง แต่อาชีวกห้ามไว้ เมื่อไปเฝ้าไม่ได้จึงให้ลูกชายไปทูลนิมนต์พระพุทธองค์ให้เสด็จมาเสวยภัตตาหารที่บ้าน อาชีวกพยายามทัดทาน แต่ไม่สำเร็จ

วันที่พระพุทธองค์เสด็จมาเสวยภัตตาหารที่บ้าน อาชีวกก็มาด้วย แต่เจ้าของบ้านจัดให้นั่งคนละห้องกัน พระพุทธองค์เสวยภัตตาหารแล้วก็ทรงแสดงธรรมโปรดสตรีผู้นั้น เธอฟังธรรมไปพลางเปล่งเสียงสาธุไปพลาง 

อาชีวกได้ยินเช่นนั้น ก็ลุกมาด่าว่าเธอด้วยถ้อยคำหยาบคาย แล้วออกจากบ้านไป

สตรีผู้นั้นรู้สึกอับอาย ฟังธรรมไม่รู้เรื่องเพราะใจไปคิดถึงคำด่า พระพุทธองค์จึงตรัสพุทธภาษิตบทนั้น ซึงแปลว่า – 

…………………………………………………

ไม่ควรใส่ใจคำด่าว่าของคนอื่น 

ไม่ควรแส่หาว่าใครทำอะไรไม่ทำอะไร 

ตนเองนั่นแหละที่ควรพิจารณา 

ว่าทำอะไรไปบ้างและยังไม่ได้ทำอะไร

…………………………………………………

https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=14&p=6

…………………………………………………

จะเห็นได้ว่า พุทธภาษิตบทนี้สอนวิธีทำใจเมื่อโดนด่า

คือไม่ให้ใส่ใจคำด่า และไม่ให้แส่คิดพล่านไปว่าคนด่ามันทำอะไรหรือไม่ทำอะไร 

คนด่ามันทำอะไรหรือมันไม่ทำอะไรก็ช่างหัวมันปะไร 

จะไปเสียเวลาเสียการเสียงานตามดูมันทำไม 

ให้ใส่ใจแต่ว่า-เราเองนี่แหละควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร

หัวใจของเรื่องอยู่ที่ให้ตั้งใจทำหน้าที่ของตน

หัวใจของเรื่องไม่ได้อยู่ที่ห้ามสนใจเรื่องของคนอื่น

เรื่องของคนอื่น-ถ้าเป็นเรื่องที่ตนควรเกี่ยวข้องด้วย หรือเป็นหน้าที่ที่ตนจะต้องเกี่ยวข้องด้วย ก็ต้องสนใจ 

จะไม่สนใจ-โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนไม่ให้สนใจเรื่องของคนอื่น-อย่างนี้ไม่ถูก จะกลายเป็นความไม่รับผิดชอบไป

แต่ที่สำคัญ พุทธภาษิตบทนี้ไม่ได้สอนให้เพิกเฉยดูดายต่อสิ่งถูกผิดที่มีคนทำขึ้นในสังคม

ในการอยู่รวมกันเป็นสังคม รู้เห็นว่าใครทำอะไรผิดแล้วปล่อยปละละเลย อ้างว่าไม่ใช่ธุระของเรา ซ้ำอ้างว่าพระพุทธศาสนาสอนไม่ให้มองหาความผิดของคนอื่น ก็เท่ากับปล่อยให้มีคนทิ้งขยะรกสังคมนั่นเอง

เห็นคนทำผิดแล้วไม่ทักท้วง กำลังกลายเป็นมารยาทที่คนนิยมประพฤติกันทั่วไป คนทักท้วงถูกมองว่าเสียมารยาท 

เหมือนเห็นคนทิ้งขยะเกลื่อนไปทุกถนนหนทาง แล้วไม่มีใครบอก ไม่มีใครเตือน ไม่มีใครเก็บ 

นับว่าเป็นค่านิยมที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ทั้งขยะจริง ขยะภาษา และคนขยะคือพระที่ประพฤติละเมิดพระธรรมวินัยแล้วไม่มีใครทักท้วง กำลังทวีขึ้นในสังคมเรา เพราะแนวคิด-การตำหนิทักท้วงคือการจ้องจับผิดนี่แล

………………………

มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า –

…………………………………………………

นิธีนํว  ปวตฺตารํ

ยํ  ปสฺเส  วชฺชทสฺสินํ

นิคฺคยฺหวาทึ  เมธาวึ

ตาทิสํ  ปณฺฑิตํ  ภเช

ตาทิสํ  ภชมานสฺส

เสยฺโย  โหติ  น  ปาปิโย.

แปลเป็นไทยว่า – 

พึงเห็นผู้มักชี้โทษเหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ 

พึงคบหาท่านผู้กล่าวข่มขี่ มีปัญญา เป็นบัณฑิตเช่นนั้นเถิด 

เมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น ย่อมมีแต่คุณอันประเสริฐ 

หามีโทษที่เลวทรามไม่

ที่มา: บัณฑิตวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๑๖

…………………………………………………

พระพุทธเจ้าบอกว่า คนทักท้วงเตือนติงคือคนชี้ขุมทรัพย์

แต่ขาวพุทธในสังคมไทยบอกว่า คนทักท้วงเตือนติงคือคนจับผิดชาวบ้าน

ความจริงพระพุทธภาษิต ๒ บทนี้อยู่ในคัมภีร์เดียวกัน คือคัมภีร์ธรรมบท และอยู่ใกล้ ๆ กันด้วย 

เตือนไม่ให้ใส่ใจกับคำด่า อยู่ในข้อ ๑๔

บอกว่าคนทักท้วงชี้โทษคือคนชี้ขุมทรัพย์ อยู่ในข้อ ๑๖

คัมภีร์ธรรมบทนั้นเป็นแบบเรียนตามหลักสูตรบาลีของคณะสงฆ์ไทย

นักเรียนบาลีทุกคนที่จะเป็นมหาเปรียญต้องสอบผ่านคัมภีร์นี้

และคัมภีร์ธรรมบทนั้นเป็นแบบเรียนที่พิเศษ คือพระไตรปิฎกกับอรรถกถาอยู่ในเนื้อเดียวกัน เรียนอรรถกถาเท่ากับได้เรียนตัวพระไตรปิฎกเต็ม ๆ ไปพร้อม ๆ กัน

และแนวคิด-การตำหนิพระคือการจ้องจับผิด ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า นักเรียนบาลีบ้านเราเรียนบาลีเพื่อสอบได้แท้ ๆ ไม่ได้เรียนเพื่อเอาความรู้มาปฏิบัติ

ในคัมภีร์ธรรมบท พระพุทธเจ้าบอกว่า คนทักท้วงเตือนติงคือคนชี้ขุมทรัพย์ เป็นคนดี

แต่นักเรียนบาลีบ้านเรานั่นเองที่บอกว่า คนทักท้วงเตือนติงคือคนจับผิดชาวบ้าน เป็นคนเลว

สวนทางกับพระพุทธเจ้าอย่างหน้าตาเฉยที่สุด

นี่เป็นความวิปริตอีกเรื่องหนึ่งของสังคมไทย

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๑๓ กันยายน ๒๕๖๗

๑๑:๑๕

…………………………………………………

กิจของสงฆ์ (๑๙)

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid02bHhmMhruSyuCDVbE3t4LZ7TfrQVo6ufzawb8sJCg6S7Jv6iHS2AUh2DeckAp8HDel

…………………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้