กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๒๒)-จบ
————-
ผมเสนอแนวคิดชาววัดชาวบ้านรุ่นใหม่เกี่ยวกับพระธรรมวินัยรวม ๗ ข้อ
…………………………………………………
๑ พระต้องช่วยสังคม
๒ คำสั่งหมอสำคัญกว่าพระธรรมวินัย
๓ ศีลของพระท่านบัญญัติสำหรับอริยสงฆ์ สมมุติสงฆ์ไม่ปฏิบัติก็ไม่เสียหาย
๔ ยอมให้พระละเมิดสิกขาวินัยได้ คือคนใจกว้าง เกณฑ์ให้พระปฏิบัติตามสิกขาวินัย คือคนใจแคบ
๕ การตำหนิพระคือการจ้องจับผิด ปล่อยให้พระประพฤติผิดคือการนับถือพระ
๖ พระท่านมีเจ้าคณะปกครองดูแลอยู่แล้ว ฆราวาสอย่าเข้าไปเสือก
๗ อาบัติก็แค่ทุกกฏ
…………………………………………………
แต่ละข้อล้วนสวนทางกับพระพุทธเจ้า
………………………
๑ พระต้องช่วยสังคม
………………………
พระพุทธเจ้าบอกว่า พระบวชแล้วต้องปฏิบัติขัดเกลาตนเองเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน
แนวคิดนี้บอกว่า พระบวชแล้วต้องช่วยสังคม พระที่ปฏิบัติเพื่อไปนิพพานเป็นพระเห็นแก่ตัว
ตบหน้าพระพุทธเจ้าฉาดใหญ่เลยทีเดียว
พระพุทธเจ้าท่านช่วยสังคมตามกรอบขอบเขตของพระ คือแนะนำธรรมะและการปฏิบัติทางจิตใจ
แนวคิดนี้ช่วยสังคมด้วยการที่พระเอางานของชาวบ้านมาทำเอง ช่วยชาวบ้านไถนา ช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าว ช่วยชาวบ้านปลูกบ้าน ช่วยฝึกสอนวิชาชีพให้ชาวบ้าน พระต้องช่วยสังคมแบบนี้
………………………
๒ คำสั่งหมอสำคัญกว่าพระธรรมวินัย
………………………
พระอาพาธ หมอสั่งให้ทำอะไรก็เต็มใจพร้อมทำ-แม้จะเป็นสิ่งที่ขัดกับวินัยของพระ อ้างอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “หมอสั่ง”
พระพุทธเจ้าสอนให้สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
แต่แนวคิดนี้สละธรรมเพื่อรักษาชีวิต
………………………
๓ ศีลของพระท่านบัญญัติสำหรับอริยสงฆ์ สมมุติสงฆ์ไม่ปฏิบัติก็ไม่เสียหาย
………………………
ในพระวินัยปิฎกตรัสไว้ชัดเจนว่า ภิกษุที่จะต้องปฏิบัติตามพระวินัยคือสมมุติสงฆ์ ไม่ใช่อริยสงฆ์
แนวคิดนี้บอกว่า ภิกษุที่จะต้องปฏิบัติตามพระวินัยคืออริยสงฆ์ ไม่ใช่สมมุติสงฆ์
………………………
๔ ยอมให้พระละเมิดสิกขาวินัยได้ คือคนใจกว้าง เกณฑ์ให้พระปฏิบัติตามสิกขาวินัย คือคนใจแคบ
………………………
พระพุทธเจ้าทรง “ขนาบแล้วขนาบอีก” เพื่อให้พระอยู่ในสิกขาวินัย
แนวคิดนี้บอกว่า เกณฑ์ให้พระปฏิบัติตามสิกขาวินัยเป็นคนใจแคบ
นี่ก็ตบหน้าพระพุทธเจ้าอีกฉาดหนึ่ง
………………………
๕ การตำหนิพระคือการจ้องจับผิด ปล่อยให้พระประพฤติผิดคือการนับถือพระ
………………………
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนตักเตือนชี้โทษ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์ เป็นคนดี
แนวคิดนี้บอกว่า คนตักเตือนชี้โทษ คือคนจับผิดชาวบ้าน เป็นคนเลว
………………………
๖ พระท่านมีเจ้าคณะปกครองดูแลอยู่แล้ว ฆราวาสอย่าเข้าไปเสือก
………………………
สมัยพุทธกาล พระประพฤติไม่ดี ชาวบ้านตำหนิได้ พระพุทธเจ้ารับฟัง
แนวคิดนี้บอกว่า เรื่องของพระ ชาวบ้านอย่าเสือก
………………………
๗ อาบัติก็แค่ทุกกฏ
………………………
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อนุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี” =โทษเพียงเล็กน้อยก็เห็นเป็นภัยที่น่ากลัว
แนวคิดนี้บอกว่า โทษแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัว อาบัติก็แค่ทุกกฏ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
………………………

จะเห็นได้ว่า แนวคิดเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะการไม่ศึกษาเรียนรู้หลักพระธรรมวินัย ใช้วิธีคิดนึกเอาตามใจตัวเอง พระธรรมวินัยจะแสดงบัญญัติไว้อย่างไรไม่รับรู้
เป็นการยืนยันว่า เวลานี้ผู้ที่บวชเข้ามาในพระศาสนา แต่ไม่ศึกษาหลักพระธรรมวินัยมีมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่เรากระหยิ่มยิ้มย่องกันว่า การศึกษาของคณะสงฆ์ในยุคสมัยนี้เจริญก้าวหน้าไปถึงระดับนานาชาติ
มันต้องมีช่องโหว่หรือมีจุดอับจุดดับอะไรสักอย่างที่ทำให้การศึกษาของสงฆ์เกิดผลที่คลาดเคลื่อนแบบนี้
ชื่นชมยินดีกันที่พระจบ ป.ธ.๙ จบ ดร.
แต่หลักพระธรรมวินัยไม่รู้ไม่เข้าใจ
และไม่มีใครเฉลียวใจคิด-โดยเฉพาะผู้บริหารการพระศาสนา
ถ้ายังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ก็เป็นที่แน่นอนว่า พระเณรทำสิ่งที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
………………………
การขอให้ผู้บริหารการพระศาสนาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ผมได้ข้อยุติแล้วว่ามีค่าเป็นศูนย์ คือท่านไม่ทำ เสนออะไรอย่างไร ท่านไม่เอาด้วยสักอย่างเดียว
จนชักจะสงสัยว่า ที่เราเสนอนั่นนี่โน่นไปนั้น ข้อเสนอไปถึงการรับรู้หูตาของท่านหรือเปล่า
หรือว่าจะต้องทำเป็นแผ่นกระดาษ เอาไปส่งที่สำนักงาน (ซึ่งตั้งอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้แน่) เจ้าหน้าที่ประทับตรารับเป็นเอกสารราชการ ใส่แฟ้ม เอาไปวางตรงหน้า ท่านเปิดอ่าน นั่นแหละท่านจึงจะรับรู้ (อยู่ในขั้น “รับรู้” เท่านั้น จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรยังจะต้องรอไปอีก)
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็ได้ข้อยุติที่แน่นอนว่า การจะช่วยกันแก้ไขหรือป้องกันปัญหาเกี่ยวกับการพระศาสนา ทำได้อย่างเดียวคือ ช่วยกันหาความรู้และให้ความรู้
ใครมีความสามารถ ถนัดที่จะติดต่อประสานงาน หรือวิ่งเต้นขอให้ใครทำอะไรอย่างไร ถ้าถนัดและสะดวกที่จะทำก็เอาเลย ทำไปเลย
แต่สำหรับผม ที่ถนัดและสะดวกที่จะทำก็คือ หาความรู้และให้ความรู้
การหาความรู้และให้ความรู้นั้น ถ้าทำเป็นขบวนการ คือชักชวนกันทำ รวมตัวกัน จัดตั้งเป็นกลุ่มเป็นชมรม ปรึกษาหารือกัน ช่วยกันคิดช่วยกันทำ กะเกณฑ์แบ่งหน้าที่แบ่งงานกันทำ ทำได้อย่างนี้ก็จะเกิดผลดีอย่างยิ่ง
และจะเป็นอย่างนี้ได้ก็ต้องมีคนประสานเชื่อมโยง
แต่คนประสานเชื่อมโยงที่ว่านี้ เวลานี้นั่งกระดิกขาอยู่ที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้
เพราะฉะนั้น-สรุปว่าลงมือทำไปคนเดียว ดีที่สุด
ทำได้ทันที เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องไปรบกวนใคร ทำได้ทุกวันเวลา
เหนื่อยก็พัก
หนักก็วาง
มีกำลังก็ลุกขึ้นทำต่อไป
อย่างที่ผมเคยพูด ทำได้อย่างนี้ เมื่อถึงวันไปอยู่ตรงหน้ายมบาล ถ้าถูกถามว่า … ตอนที่ยังไม่ตาย เอ็งทำอะไรที่เป็นการช่วยรักษาพระศาสนาไว้มั่ง ไหนลองเล่าไปถี …
อย่างน้อยก็พอจะมีเรื่องคุยได้บ้าง
ไม่อายยมบาล
………………………

บทความชุด “กิจของสงฆ์” ยังขาดตกบกพร่องอะไรอีกบ้าง ก็ขอจบไว้แค่นี้ทีหนึ่งก่อนครับ
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๑๖ กันยายน ๒๕๖๗
๑๑:๒๘
…………………………………………………
กิจของสงฆ์ (๒๒)-จบ
…………………………………………………
