บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๖)

—————

…………………

เหตุการณ์ที่สอง

…………………

เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศรีลังกา ตามที่ท่านบันทึกไว้ในคัมภีร์อรรถกถาวินัยปิฎก

เรื่องก็คือ วัดเจติยคิรีวิหารตั้งอยู่ริมแม่น้ำกฬัมพนทีเมืองอนุราธบุรี มีโจรมาตั้งซ่องอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ ปัญหาก็คือ –

ผู้คนฟากนี้ก็อพยพหนีโจร

ผู้คนฟากโน้นก็ไม่กล้าข้ามมาทำบุญ

วันหนึ่งพวกโจรวางแผนปล้นวัด คนวัดรู้ระแคะระคายก็แจ้งหลวงพ่อเจ้าอาวาส

สำนวนในคัมภีร์ท่านบันทึกไว้ดังนี้ –

………………………………………….

อเถกทิวสํ  โจโร  เจติยคิรึ  วิลุมฺปิสฺสามีติ  อคมาสิ  ฯ

อยู่มาวันหนึ่ง โจรหมายใจว่าจะปล้นวัดเจติยคิรี จึง (ยกพวก) ไปที่วัด

อารามิกา  ทิสฺวา  ทีฆภาณกอภยตฺเถรสฺส  อาโรเจสุํ  ฯ

พวกคนวัดเห็น ก็บอกแก่พระทีฆภาณกอภัยเถระ (หลวงพ่ออาวาส)

เถโร  สปฺปิผาณิตาทีนิ  อตฺถีติ  ปุจฺฉิ  ฯ

พระเถระถามว่า เนยใสและน้ำอ้อยเป็นต้นมีไหม?

อตฺถิ  ภนฺเตติ  ฯ

มีขอรับ

โจรานํ  เทถ  ตณฺฑุลา  อตฺถีติ  ฯ

พวกท่านจงให้แก่พวกโจร แล้วข้าวสารล่ะมีไหม?

อตฺถิ  ภนฺเต  สงฺฆสฺสตฺถาย  อาหฏา  ตณฺฑุลา  จ  ปกฺกสากญฺจ  โครโส  จาติ  ฯ  

มีขอรับ ข้าวสาร ผักดอง และนมเนย ที่เก็บไว้ทำถวายพระสงฆ์มีอยู่

ภตฺตํ  สมฺปาเทตฺวา  โจรานํ  เทถาติ  ฯ 

พวกท่านจงจัดเตรียมทำอาหารให้แก่พวกโจร

อารามิกา  ตถา  กรึสุ  ฯ

พวกคนวัดทำตามพระเถระสั่ง

โจรา  ภตฺตํ  ภุญฺชิตฺวา  เกนายํ  ปฏิสนฺถาโร  กโตติ  ปุจฺฉึสุ  ฯ

พวกโจรกินอาหารแล้วถามว่า การต้อนรับเลี้ยงดูนี้ใครให้ทำ?

อมฺหากํ  อยฺเยน  อภยตฺเถเรนาติ  ฯ

พวกคนวัดบอกว่า พระอภัยเถระผู้เป็นเจ้าของพวกเราสั่งให้ทำ

โจรา  เถรสฺส  สนฺติกํ  คนฺตฺวา  วนฺทิตฺวา  อาหํสุ  มยํ  สงฺฆสฺส  จ  เจติยสฺส  จ  สนฺตกํ  อจฺฉินฺทิตฺวา  คเหสฺสามาติ  อาคตา  

พวกโจรไปหาพระเถระ ไหว้แล้วกราบเรียนว่า พวกกระผมมาด้วยหมายใจว่าจักปล้นเอาของสงฆ์และของเจดีย์

ตุมฺหากํ  ปน  อิมินา  ปฏิสนฺถาเรนมฺหา  ปสนฺนา  

แต่เลื่อมใสการต้อนรับของพระคุณท่าน

อชฺชโต  ปฏฺฐาย  วิหาเร  ธมฺมิกา  รกฺขา  อมฺหากํ  อายตฺตา  โหตุ  

ตั้งแต่วันนี้ไป พวกกระผมจะขอรับหน้าที่ดูแลรักษาวัดนี้ให้เรียบร้อย

นาครา  อาคนฺตฺวา  ทานํ  เทนฺตุ  เจติยํ  วนฺทนฺตูติ  ฯ 

พวกชาวเมืองจะได้มาถวายทาน มาไหว้พระเจดีย์กันได้สะดวก

ที่มา: สมันตปาสาทิกา ภาค ๑ หน้า ๕๘๐

………………………………………….

เรื่องดำเนินต่อไปว่า ตั้งแต่นั้นมา พวกโจรก็กลายเป็นหน่วย รปภ. ชั้นดีของวัด คอยอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้แก่ผู้คนที่มาทำบุญ คนมาทำบุญก็แบ่งปันอาหารให้ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน กลายเป็นเรื่องดีไป

แต่เรื่องไม่ happy ending อย่างที่คิด พระบางกลุ่มในวัดยกเรื่องนี้ขึ้นมาโจมตีหลวงพ่อเจ้าอาวาส หาว่าหลวงพ่อเอาเสบียงของสงฆ์ทำอาหารเลี้ยงโจร เป็นการใช้สิทธิอำนาจไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย 

หลวงพ่อก็ไม่สบายใจ สั่งให้ประชุมสงฆ์ทั้งวัดเพื่อพิจารณาไต่สวนข้อกล่าวหา

หลวงพ่อขอให้คิดราคาเสบียงของสงฆ์ที่หมดไปเพราะทำอาหารเลี้ยงโจรเป็นเงินเท่าไร และขอให้ตีราคาทรัพย์สินของวัดที่โจรสามารถจะขนเอาไปได้ว่าเป็นเงินเท่าไร

ปรากฏว่า เสบียงของสงฆ์ที่หมดไปในการทำอาหารเลี้ยงโจรคิดราคาทั้งหมดแล้วเทียบไม่ได้กับราคาพรมผืนเดียวที่เขียนลายจิตรกรรมงามล้ำ (วรโปตฺถกจิตฺตตฺถรกํ) ที่ปูลาดในห้องพระเจดีย์ ยังไม่ต้องคิดถึงทรัพย์สินอื่น ๆ ของวัด ที่-ถ้าหากโจรปล้นแล้วขนเอาไปได้

ในที่สุดทุกฝ่ายก็ยอมรับว่า ที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสตัดสินใจทำไปนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว

………………………

เรื่องนี้ ตรงไหนที่ส่องหรือส่อว่าเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ใช่กิจของสงฆ์?

หลายท่านคงบอกว่า การรักษาสมบัติของวัดสมบัติของสงฆ์ให้ปลอดภัย นั่นคือกิจของสงฆ์-ตามเรื่องนี้

จุดนั้นเป็นเรื่องที่เห็นได้ง่าย แต่ยังมีจุดเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งผมเชื่อว่า-ถ้าไม่บอกก็จะไม่เห็น และแม้จะบอก ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครเห็น-เหมือนกับที่ผมเห็นหรือเปล่า

จุดเล็ก ๆ ที่ซ่อนเรื่องกิจของสงฆ์หรือไม่ใช่กิจของสงฆ์ไว้ในเรื่องนี้ และซ่อนอยู่ในคำเล็ก ๆ คำเดียว นั่นคือคำว่า “อารามิก”

ตามเรื่อง โจรยกพวกมาปล้นวัด 

อารามิกบอกให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสทราบ

หลวงพ่อสั่งให้อารามิกเอาเสบียงสงฆ์ทำอาหารเลี้ยงโจร 

กิจของสงฆ์หรือไม่ใช่กิจของสงฆ์ซ่อนอยู่ตรงนี้

หลวงพ่อไม่ได้สั่งให้พระเณรในวัดเข้าครัว ติดเตา หุงข้าว ทำกับข้าวเลี้ยงโจร

แต่หลวงพ่อสั่งให้ “อารามิก” เป็นคนทำ

ในสถานการณ์คับขัน เกี่ยวกับความเป็นความตาย ถ้าพระเณรจะเข้าครัวเอง ติดเตาเอง หุงข้าวเอง ทำกับข้าวเอง-เพื่อรักษาชีวิตและรักษาทรัพย์สินของสงฆ์ แม้จะผิดวินัย แต่ก็จะไม่มีใครตำหนิได้เลย

แต่แม้จะคับขันฉุกเฉินถึงเพียงนั้น หลวงพ่อก็ไม่ได้สั่งให้พระเณรทำ หากแต่สั่งให้ “อารามิก” เป็นคนทำ เพราะท่านรู้ดีว่าอะไรเป็นกิจของสงฆ์ อะไรไม่ใช่กิจของสงฆ์

“อารามิก” คือใคร เป็นเรื่องที่พระสงฆ์ไทย-คณะสงฆ์ไทย ณ วันนี้แทบจะไม่รู้จัก ไม่เห็นความจำเป็น และไม่ได้นึกถึงอีกแล้ว

………………………

อารามิก” ถ้าแปลตามศัพท์ว่า “ผู้อยู่ในอาราม” ก็ควรหมายถึงนักบวช กล่าวเฉพาะในพระพุทธศาสนาก็หมายถึงพุทธบริษัทฝ่ายบรรพชิต คือ ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี

แต่เท่าที่พบในคัมภีร์ “อารามิก” หมายถึง คนที่อยู่ในวัด แต่มิได้เป็นบรรพชิต

ต้นเรื่องในคัมภีร์กล่าวไว้ว่า พระสาวกรูปหนึ่ง ชื่อพระปิลินทวัจฉะ เป็นชาวเมืองสาวัตถี ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ คราวหนึ่งจาริกมาถึงเมืองราชคฤห์ พบเงื้อมเขาแห่งหนึ่ง ทำเลสงบสงัดดี จึงช่วยกันกับภิกษุอื่น ๆ จัดแจงปรับสถานที่สำหรับเป็นที่ปลีกวิเวก

พระเจ้าพิมพิสารราชาแห่งมคธรัฐทรงทราบ จึงตรัสสั่งให้จัดคนไปช่วยทำกิจนั้นโดยวิธียกหมู่บ้านแห่งหนึ่งให้เป็น “อารามิก” (คำว่า “อารามิก” พระไตรปิฎกภาษาไทยแปลว่า “คนทำการวัด”) คนในหมู่บ้านนั้นทั้งหมดมีฐานะเป็นคนทำงานให้วัด หมู่บ้านนั้นมีฐานะเป็นเอกเทศจากบ้านเมือง คือเป็นเหมือนสมบัติของวัด บ้านเมืองไม่เข้าไปใช้อำนาจ เช่นไม่เก็บภาษี ไม่เกณฑ์คนในหมู่บ้านไปสงครามเป็นต้น

ในเมืองไทยเราก็เคยมีธรรมเนียมยกหมู่บ้านถวายวัดแบบนี้ มีคำเรียกคนที่ทำงานรับใช้วัดว่า “ข้าพระ โยมสงฆ์”

อารามิก” ที่สังคมไทยสมัยหนึ่งรู้จักกันดีคือ เด็กวัด

………………………

“เด็กวัด” หมายถึง เด็กชายที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน พ่อแม่หรือผู้ปกครองนำไปฝากให้พระสงฆ์อบรมสั่งสอนและพักอาศัยอยู่ในวัด นอกจากเล่าเรียนวิชาตามที่พระจะเป็นผู้สอนให้แล้วก็ทำหน้าที่รับใช้พระและช่วยทำกิจต่าง ๆ ของวัดไปด้วย

ต่อมาเมื่อทางบ้านเมืองตั้งโรงเรียนของทางราชการขึ้นและกำหนดให้เด็กต้อง “เข้าโรงเรียน” โรงเรียนจึงทำหน้าที่อบรมสั่งสอนแทนวัด โรงเรียนในสมัยแรกมักตั้งอยู่ในวัด เด็กชายส่วนหนึ่งที่บ้านอยู่ไกลจึงยังคงพักอาศัยอยู่ในวัดด้วย

ต่อมาแม้โรงเรียนและสถานศึกษาระดับต่าง ๆ จะขยายตัวออกไปนอกวัดมากขึ้น นักเรียนชายส่วนหนึ่งที่อยู่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะเด็กที่ไม่มีญาติอยู่ในเมือง เมื่อเข้าไปศึกษาในตัวเมืองหรือในเมืองหลวงก็ยังนิยมพักอาศัยตามวัดต่าง ๆ ในฐานะเป็น “เด็กวัด” และต้องทำกิจต่าง ๆ ตามที่วัดกำหนด เช่นไหว้พระสวดมนต์และรับใช้พระในโอกาสต่าง ๆ เช่นเดียวกับ “เด็กวัด” สมัยก่อน เพียงแต่หน้าที่หลักคือไปเรียนหนังสือ ลักษณะเช่นนี้จึงมีผู้กล่าวว่า เด็กวัดสมัยหลังนี้อาศัยวัดเป็นเสมือนหอพักเท่านั้น ไม่ได้มีชีวิตเป็น “เด็กวัด” ที่แท้จริงเหมือนเด็กวัดสมัยก่อน

………………………

พระ วัด และคณะสงฆ์ ควรเห็นความสำคัญของ “อารามิก” หรือ “คนวัด” โดยการจัดหาให้มีอยู่ประจำทุกวัด จะจัดหาอย่างไร ได้มาอย่างไร ถ้ากำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจนแล้วย่อมมีหนทางทำได้เสมอ 

จะใช้แนวคิด “จิตอาสา” ที่คนสมัยนี้เข้าใจกันดีเข้าไปช่วยเสริมก็น่าจะได้ นั่นคือ ชาวบ้านที่มีจิตใจอาสาจัดตั้งเป็นกลุ่มเป็นชมรมหรือถึงระดับเป็นสมาคมได้ก็ยิ่งดี แล้วจัดหาอาสาสมัครเป็นอารามิกเข้าประจำตามวัดต่าง ๆ 

หาคนมาเป็นคนวัดให้ได้ทุกวัด ทำไมจะหาไม่ได้

เจ้าอาวาสที่มีบารมี ทำไมจะหาคนวัดไม่ได้

หน่วยงานราชการ เช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้ามาช่วยสนับสนุนอีกแรงหนึ่งก็ยังได้-ถ้าผู้บริหารการพระศาสนามีนโยบายที่จะให้ทำเช่นนั้น

อารามิก-คนวัด เป็นคนที่คอยช่วยพระไม่ให้ต้องอาบัติเพราะทำสิ่งที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ 

งานหรือกิจการอันใดที่ขัดต่อพระธรรมวินัย ไม่ใช่วิสัยของสมณะ อารามิกจะเข้ารับทำให้ทันที

ถ้ายังไม่เคยเห็นความสำคัญ ก็ควรจะรีบเห็นซะ

วัดต่าง ๆ ต้องช่วยตัวเองก่อน ขวนขวายจัดหาจัดสร้างอารามิกให้มีขึ้นในวัดของตนตั้งแต่วันนี้

คนที่นั่งด่าพระว่า-ทำยังงี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ด่าไปด้วย ช่วยหาทางสร้างอารามิกให้วัดไปด้วย ก็จะเป็นที่น่าอนุโมทนาสาธุการเป็นที่ยิ่ง

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๗

๑๕:๐๓

………………………………………….

กิจของสงฆ์ (๖)

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid0mqiBfgRNBv5k2y7BDd3XKfKmzNDS4AbW8jQP36eWgdU9owXqf7P1fjyUqXsvNr12l

………………………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้