บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๗)

—————

นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ส่องหรือส่อให้เห็นว่า กิจของสงฆ์หรือไม่ใช่กิจของสงฆ์มีกรอบขอบเขตแค่ไหนอย่างไร

กรณีภิกษุณี “เป็นความ” กับชาวบ้าน

………………………

ชายผู้หนึ่งถวายโรงเก็บของให้ภิกษุณีสงฆ์ ชายผู้นี้มีลูกชาย ๒ คน คนหนึ่งไม่นับถือพุทธ คนหนึ่งนับถือพุทธ เมื่อเขาตายลงลูกชายก็แบ่งสมบัติกัน แบ่งหมดแล้ว คนที่ไม่นับถือพุทธบอกว่า ยังมีโรงเก็บของอีกแห่งหนึ่งยังไม่ได้แบ่ง คนนับถือพุทธก็บอกว่า โรงเก็บของนั้นพ่อถวายให้ภิกษุณีสงฆ์ไปแล้ว คนที่ไม่นับถือพุทธพยายามเซ้าซี้จะให้แบ่งอยู่นั่นแล้ว คนที่นับถือพุทธก็เลยบอกว่าแบ่งก็แบ่ง โดยหวังว่าถ้าโรงเก็บของตกเป็นของตนก็จะมอบให้ภิกษุณีสงฆ์ตามเดิมตามเจตนารมณ์ของพ่อ

ในท้องเรื่องไม่ได้บอกว่าวิธีแบ่งทำอย่างไร สันนิษฐานว่าคงใช้วิธีจับสลากหรืออะไรสักอย่าง ผลปรากฏว่าคนที่ไม่นับถือพุทธได้โรงเก็บของ เขา (ต่อไปนี้จะเรียกสั้น ๆ ว่า “ลูกชาย”) จึงไปบอกให้พวกภิกษุณีออกไปจากโรงเก็บของ ภิกษุณียืนยันว่าพ่อของเขาถวายให้ภิกษุณีสงฆ์แล้ว ลูกชายก็ยืนยันว่าแบ่งสมบัติกันแล้วโรงเก็บของตกเป็นของตน ต่างก็ไม่ยอมกัน ในที่สุดทั้งคู่ก็ฟ้องร้องกัน (ฟ้องครั้งที่ ๑) ศาลตัดสินให้โรงเก็บของตกเป็นภิกษุณีสงฆ์ ลูกชายไม่พอใจโฆษณาด่าว่าภิกษุณีต่าง ๆ นานา ภิกษุณีฟ้องหมิ่นประมาท (ฟ้องครั้งที่ ๒) ศาลตัดสินปรับลูกชาย ลูกชายจ้างคนให้ไปก่อกวนภิกษุณี ภิกษุณีฟ้องคดีอาญา (ฟ้องครั้งที่ ๓) ศาลตัดสินจำคุกลูกชาย

มาถึงขั้นนี้คนก็เริ่มวิจารณ์ภิกษุณีทำนองว่า –

ครั้งแรก ภิกษุณีให้ศาลริบโรงเก็บของ

ครั้งที่สอง ภิกษุณีให้ศาลปรับ

ครั้งที่สาม ภิกษุณีให้ศาลจับขังคุก

ถ้ามีครั้งที่สี่ ภิกษุณีคงให้ศาลสั่งประหาร

เมื่อความทราบถึงพระพุทธองค์ ทรงเรียกประชุมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุณีฟ้องร้องเป็นคดีความกับชาวบ้านก็ตาม กับชาววัดก็ตาม ถ้าขืนทำต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ที่มา: สัตตรสกัณฑ์ ภิกขุนีวิภังค์ วินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๓ ข้อ ๓๑ 

………………………

ปัญหาที่สมควรจะพิจารณากันในกรณีนี้ก็คือ เมื่อมีผู้ถวายสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นของสงฆ์ แล้วต่อมาเขาทวงคืน สงฆ์จะมีหลักปฏิบัติอย่างไร? 

ในตัวเรื่องในภิกขุนีวิภังค์ ไม่มีกล่าวถึงพระพุทธดำรัสว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร เท่าที่ตรวจสอบในพระไตรปิฎก ก็ยังไม่พบว่า กรณีทำนองนี้มีพระพุทธานุญาตให้ปฏิบัติอย่างไร หรือมีพระสาวกองค์ไหนท่านปฏิบัติอย่างไร ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า จะใช้หลักอะไรในการพิจารณาว่าควรทำอย่างไร

อย่างไรก็ตาม คัมภีร์สมันตปาสาทิกา อันเป็นอรรถกถาวินัยปิฎกได้อธิบายแนวปฏิบัติในเรื่องนี้ไว้ ซึ่งอาจจะถือเป็นแนวปฏิบัติทั่วไปเมื่อพระมีข้อขัดแย้งกับชาวบ้านถึงระดับที่-ถ้าเป็นชาวบ้านด้วยกันก็คงจะต้องฟ้องร้องหรือ “แจ้งตำรวจ” แต่เมื่อเป็นพระเป็นสงฆ์ท่านไม่ให้ทำเช่นนั้น แต่ท่านแนะวิธีการไว้พอจะสรุปเป็นแนวปฏิบัติได้ดังนี้ –

………………………

๑ เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดทางทรัพย์สินหรือสวัสดิภาพ ท่านให้ขออารักขาที่เป็นธรรมจากทางบ้านเมือง หมายความว่า ให้เป็นหน้าที่ของทางบ้านเมืองที่จะดำเนินการ (ละเมิดทางทรัพย์สินก็เช่น มีคนมาขโมยผลไม้  ขโมยบริขาร หรือมาตัดต้นไม้ ละเมิดทางสวัสดิภาพก็เช่น มีคนมาเกะกะระราน ก่อกวน ข่มขู่ ที่ท่านเรียกว่า “อนาจาร = ประพฤติไม่สมควร”)

๒ ในการขออารักขานั้น ต้องทำให้ถูกต้องจึงจะเป็นอารักขาที่ชอบธรรม  กล่าวคือต้องไม่เป็นการทำให้ผู้มาทำละเมิดนั้นเองต้องเดือดร้อน เช่นถูกปรับหรือได้รับโทษทัณฑ์ใด ๆ อารักขาที่เป็นธรรมต้องมุ่งหมายเพียงเพื่อให้การละเมิดนั้นยุติ คือถ้าละเมิดทางทรัพย์สินก็เพียงให้ได้ทรัพย์สินคืน ถ้าละเมิดทางสวัสดิภาพก็เพียงให้ผู้มาละเมิดนั้นหยุดการกระทำนั้น ๆ เสียได้

๓ ในการแจ้งความเมื่อมีการละเมิดเกิดขึ้น จะต้องไม่ระบุตัวผู้ละเมิด แม้จะรู้ว่าเป็นใครก็บอกไม่ได้ ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะไปสืบสวนหาตัวคนทำเอาเอง เพราะการไปแจ้งความหรือการขออารักขานั้นมีความมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวคือเพื่อให้ยุติการละเมิด (ได้ทรัพย์สินคืน หรือ เลิกข่มขู่คุกคาม) มิใช่เพื่อให้เอาตัวผู้ละเมิดมาลงโทษ อย่าว่าแต่ให้ข้อมูลเพื่อตามจับผู้ละเมิดเลย แม้เห็นคนขโมยบริขารไปต่อหน้าต่อตา จะร้องเรียกให้มาช่วยกันจับขโมยเพื่อจะได้เอาตัวไปลงโทษ ก็ไม่ควรทำ

๔ หากผู้ละเมิดถูกลงโทษ เพราะการให้รายละเอียดของภิกษุณี เช่น บอกชื่อผู้ทำอันเป็นข้อมูลให้เจ้าหน้าที่สืบหาตัวมาได้ ภิกษุณีไม่พ้นความรับผิดชอบในโทษนั้น ๆ ด้วย (ท่านใช้คำว่า “คีวา” แปลกันว่า “เป็นสินใช้” เช่นถ้าเขาถูกปรับ ก็ต้องหาเงินมาชดเชยให้ผู้ถูกปรับด้วย)

๕ ในกรณีละเมิดทางทรัพย์สิน หากแน่ใจว่ามีคนที่สามารถจัดการให้เป็นไปตามความประสงค์ได้แน่ ๆ จะบอกแก่คนผู้นั้นว่าใครเอาไปก็ได้  แต่ต้องมีเงื่อนไขว่า ขอเพียงให้ได้ของคืนเท่านั้น จะต้องไม่มีการลงโทษโดยเด็ดขาด

สรุปหลักการที่เด่นชัดในการขออารักขา ก็คือ ต้องไม่ทำให้ใครได้รับความเดือดร้อนแม้แต่ตัวคนที่ทำผิดนั้นเองก็ตาม คือมุ่งระงับปัญหาอย่างเดียว ไม่ต้องการก่อทุกข์โทษภัยใด ๆ แก่ใครทั้งสิ้น

ที่มา: สมันตปาสาทิกา ภาค ๒ หน้า ๕๗๕-๕๘๐ (สตฺตรสกณฺฑวณฺณนา)

………………………………………….

https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=3&i=31

………………………………………….

เมื่อพระพุทธองค์ทรงประกาศพรหมจรรย์ ก็คือทรงเสนอทางออกจากทุกข์ให้แก่สังคม ทางออกจากทุกข์นั้นถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่ ผู้ดำเนินทางควรออกจากเรือน ถือเพศนักบวช เป็นผู้ไม่มีเหย้าเรือน ผู้ออกจากเรือนไปบวชก็เพราะเห็นว่า –

………………………………………….

ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัดไม่ใช่ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิตเถิด

ที่มา: สามัญญผลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค

พระไตรปิฎกเล่ม ๙ ข้อ ๑๐๒ เป็นต้น

………………………………………….

แนวทางของบรรพชิตจึงต้องปลอดโปร่งจากปัญหาแบบผู้ครองเรือน มีวัตถุน้อยอย่างยิ่งเพียงเท่าที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ เสียเวลาให้กับการกินการอยู่น้อยที่สุด ใช้เวลาทั้งหมดไปเพื่อการฝึกหัดขัดเกลาจิตใจเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ในทางสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้อื่นก็ต้องเป็นไปเพื่อความสงบสันติ ปราศจากการเบียดเบียนก่อโทษภัยด้วยประการทั้งปวง นี่คือหลักการของเพศบรรพชิต

แนวทางปฏิบัติตามที่อรรถกถาแสดงไว้นั้น จะเห็นได้ว่าสอดคล้องกับหลักการของการบวชอย่างยิ่ง คือไม่ก่อปัญหาให้แก่ใคร ๆ หากมีใครมาก่อปัญหาให้ ก็จัดการในขอบเขตของการป้องกันตนเองเท่านั้น ไม่ก่อโทษภัยให้แก่ใครอย่างเด็ดขาด แม้แก่ผู้มาก่อปัญหานั้นเอง 

แนวทางเช่นนี้ถ้ามองด้วยความรู้สึกของผู้ครองเรือนก็จะเห็นว่า เหมือนกับจะต้องยอมให้คนอื่นเขารังแกเอาฝ่ายเดียว แต่ความจริงแล้วก็ไม่ถึงขนาดนั้น ทางออกที่ท่านแนะไว้ก็คือ ขอให้ทางบ้านเมืองช่วยจัดการ เพราะคนต้องอยู่ในชุมชน และชุมชนก็ต้องมีผู้ปกครองดูแล เมื่อมีปัญหาเกิดจากคน ก็ต้องให้ผู้ปกครองคนเป็นผู้แก้ไขถ้าไม่ต้องการจะก่อเวรภัย ทั้งไม่ต้องการจะเป็นผู้ถูกรังแกอยู่ร่ำไป 

การแก้ปัญหาโดยเอาตัวลงไปปะทะเองแบบทางโลก ย่อมหลีกไม่พ้นการก่อเวรภัย เมื่อเกิดเวรภัยกับผู้อื่น ก็กระทบกระเทือนถึงหลักการของเพศบรรพชิต ดังที่ตรัสไว้ในโอวาทปาติโมกข์ว่า –

………………………………………….

น  หิ  ปพฺพชิโต  ปรูปฆาตี 

ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต 

สมโณ  โหติ  ปรํ  วิเหฐยนฺโต

ผู้เบียดเบียนผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ 

………………………………………….

ถ้าคิดแบบชาวโลกว่า ใครทำอะไรเรา เขาก็ควรจะถูกลงโทษ เราควรจะต้องแก้แค้นให้สมกับที่ถูกทำ แม้ชาวโลกที่อยู่ครองเรือนคิดอย่างนี้ ท่านก็ยังว่าผิด เป็นการผูกเวรจองกรรม ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา ดังพุทธภาษิตว่า –

………………………………………….

น  หิ  เวเรน  เวรานิ

สมฺมนฺตีธ  กุทาจนํ

อเวเรน  จ  เวรานิ

เอส  ธมฺโม  สนนฺตโน

แต่ไหนแต่ไรมา ในโลกนี้ 

เวรไม่มีระงับด้วยการจองเวร 

มีแต่ระงับด้วยการไม่จองเวร 

นี้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัว

(สำนวนแปลของอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก)

………………………………………….

ยิ่งถ้าเป็นบรรพชิต แล้วไปแก้ปัญหาด้วยการก่อเวรภัย ก็จะยิ่งเลวกว่าชาวบ้านไปหลายเท่า ข้อสำคัญก็คือเท่ากับไปล้มหลักการของเพศบรรพชาที่ตัวเองกำลังครองอยู่เข้าด้วย 

สรุปว่า อะไรที่ทำแล้วกระทบกระเทือนหลักการของเพศบรรพชา นั่นแปลว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๑ กันยายน ๒๕๖๗

๑๘:๓๘

………………………………………….

กิจของสงฆ์ (๗)

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid02dSCLnz2NMaidx4BvctHQ91XhTM7BfXPCy1rey35h26UPBXbAaf1ztCT8QVekaMzjl

………………………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้