บาลีวันละคำ

มิจฉาทิฐิ (บาลีวันละคำ 1,249)

มิจฉาทิฐิ

อ่านว่า มิด-ฉา-ทิด-ถิ

ประกอบด้วย มิจฉา + ทิฐิ

(๑) “มิจฉา

บาลีเขียน “มิจฺฉา” (มีจุดใต้ จฺ) อ่านว่า มิด-ฉา เป็นศัพท์จำพวกนิบาต ไม่แจกด้วยวิภัตติ คือคงรูปเดิมเสมอ

มิจฺฉา” แปลว่า “ผิด” ถ้าอยู่ตามลำพังมีฐานะเป็นกริยาวิเศษณ์ มีความหมายว่า อย่างผิดๆ, ด้วยวิธีผิด, ไม่ถูก, เก๊, หลอกๆ (wrongly, in a wrong way, wrong –, false)

(๒) “ทิฐิ

บาลีเป็น “ทิฏฺฐิ” รากศัพท์มาจาก ทิสฺ (ธาตุ = เห็น) + ติ ปัจจัย, ลบ สฺ ที่สุดธาตุ, แปลง ติ เป็น ฏฺฐิ

: ทิสฺ > ทิ + ติ > ฏฺฐิ : ทิ + ฏฺฐิ = ทิฏฺฐิ แปลตามศัพท์ว่า “ความเห็น” หมายถึง ความคิดเห็น, ความเชื่อ, หลักลัทธิ, ทฤษฎี, การเก็ง, ทฤษฎีที่ผิด, ความเห็นที่ปราศจากเหตุผลหรือมูลฐาน (view, belief, dogma, theory, speculation, false theory, groundless or unfounded opinion)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

ทิฐิ : (คำนาม) ความเห็น เช่น สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด; ความอวดดื้อถือดี เช่น เขามีทิฐิมาก”

โปรดสังเกตว่า คำนี้บาลีเป็น “ทิฏฺฐิ” (ทิด-ถิ) มี ปฏักสะกด ภาษาไทย (ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน) ตัด ออก เขียนเป็น “ทิฐิ” แต่อ่านเท่าบาลี คืออ่านว่า ทิด-ถิ ไม่ใช่ ทิ-ถิ

ในภาษาธรรม ถ้าพูดเฉพาะ “ทิฏฺฐิ” จะหมายถึง ความเห็นผิด

ถ้าต้องการชี้เฉพาะ จะมีคำบ่งชี้นำหน้า คือ “มิจฺฉาทิฏฺฐิ” = ความเห็นผิดสมฺมาทิฏฺฐิ” = ความเห็นถูก

มิจฺฉา + ทิฏฺฐิ = มิจฺฉาทิฏฺฐิ > มิจฉาทิฐิ แปลตามศัพท์ว่า “ความเห็นผิด

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ไทย-อังกฤษ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต แปล “มิจฉาทิฐิ” เป็นอังกฤษว่า wrong view; false view.

พจน.54 บอกไว้ว่า –

มิจฉาทิฐิ : คำนาม) ความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม. (ป.).”

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –

มิจฉาทิฏฐิ : เห็นผิด, ความเห็นที่ผิดจากคลองธรรม เช่นเห็นว่าทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี มารดาบิดาไม่มี เป็นต้น และความเห็นที่ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ ….”

………

เพื่อความรู้ทัน พึงสดับตัวอย่างทฤษฎีที่เป็น “มิจฉาทิฐิ” ดังต่อไปนี้ –

………

ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่ว ไม่มี

โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาบิดาไม่มี สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้น (โอปปาติกะ) ไม่มี

สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งกระทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ไม่มีในโลก

คนเรานี้เป็นแต่ประชุมมหาภูตทั้งสี่ เมื่อทำกาลกิริยา ธาตุดินไปตามธาตุดิน ธาตุน้ำไปตามธาตุน้ำ ธาตุไฟไปตามธาตุไฟ ธาตุลมไปตามธาตุลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมเลื่อนลอยไปในอากาศ คนทั้งหลายมีเตียงเป็นที่ห้าจะหามเขาไป ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าช้า กลายเป็นกระดูกมีสีดุจสีนกพิราบ

การเซ่นสรวงมีเถ้าเป็นที่สุด ทานนี้คนเขลาบัญญัติไว้ คำของคนบางพวกพูดว่า มีผลๆ ล้วนเป็นคำเปล่า คำเท็จ คำเพ้อ เมื่อร่างกายสลายทั้งพาลทั้งบัณฑิตย่อมขาดสูญพินาศสิ้น เบื้องหน้าแต่ตายย่อมไม่มีอะไรไปเกิด

………

(สามัญญผลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อ 96)

ด้วยเหตุฉะนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ว่า –

นาหํ  ภิกฺขเว  อญฺญํ  เอกธมฺมํปิ  สมนุปสฺสามิ 

ยํ  เอวํ  มหาสาวชฺชํ  ยถยิทํ  ภิกฺขเว  มิจฺฉาทิฏฺฐิ 

มิจฺฉาทิฏฐิปรมานิ  ภิกฺขเว  วชฺชานีติ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรามองไม่เห็นธรรมอย่างหนึ่งอันอื่นที่มีโทษมากเหมือนอย่างมิจฉาทิฐิเลย กระบวนโทษทั้งหลาย มิจฉาทิฐิมีโทษอย่างยิ่ง

(อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม ๒๐ ข้อ ๑๙๓)

30-10-58

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย