บาลี (บาลีวันละคำ 1,570)
บาลี
อ่านกันมาตั้งหลายคำ ขอแนะนำให้รู้จัก
“บาลี” ภาษาบาลีว่า “ปาลิ” อ่านว่า ปา-ลิ ( -ลิ สระ อิ) ในตำรามักแสดงรูปคำเดิมว่า “ปาฬิ” ( –ฬิ ฬ จุฬา) รากศัพท์มาจาก –
(1) ปาลฺ (ธาตุ = รักษา) + อิ ปัจจัย, แปลง ล เป็น ฬ
: ปาลฺ + อิ = ปาลิ > ปาฬิ แปลตามศัพท์ว่า “ภาษาที่รักษาพระพุทธพจน์ไว้”
(2) ปา (ธาตุ = รักษา) + ฬิ ปัจจัย
: ปา + ฬิ = ปาฬิ แปลตามศัพท์ว่า “ภาษาที่รักษาเนื้อความในศัพท์บาลีที่กล่าวถึงปริยัติธรรมไว้”
(3) ปาฬิ (ขอบ, แนว) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ
: ปาฬิ + ณ = ปาฬิณ > ปาฬิ แปลตามศัพท์ว่า “ภาษาที่เปรียบเหมือนเขื่อนใหญ่ที่มั่นคงของบึงใหญ่เพื่อรักษาน้ำภายในไว้”
(4) ป (แทนศัพท์ว่า “ปกฏฺฐ” = ยิ่งใหญ่, สำคัญ) + อาฬิ (ถ่องแถว)
: ป + อาฬิ = ปาฬิ แปลตามศัพท์ว่า “ถ่องแถวแห่งวจนประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่” (วจนประพันธ์นั้นชื่อว่ายิ่งใหญ่ (1) เพราะให้รู้ความหมายแห่งศีลเป็นต้นที่ยิ่งใหญ่ และ (2) เพราะพระพุทธเจ้าเป็นต้นผู้ยิ่งใหญ่ตรัสไว้)
ขยายความ :
๑ คำว่า “ปาฬิ” (ฬ จุฬา) เป็นคำเดิมในศัพท์บาลี คัมภีร์รุ่นเก่าเขียนเป็น “ปาฬิ” จนมีคำเรียก “ฬ” ว่า ฬ บาฬี แต่ต่อมาได้ชำระแก้ไขเป็น “ปาลิ” (ล ลิง) อย่างไรก็ตาม นักภาษายอมรับว่าคำนี้ใช้ได้ทั้ง “ปาฬิ” และ “ปาลิ” ปัจจุบันนี้สำนักวิชาการบางแห่งยืนยันที่จะใช้ “ปาฬิ” เป็นหลักในเอกสารของสำนัก
ในภาษาไทยนิยมใช้เป็น “บาลี” (บา– บ ใบไม้ –ลี ล ลิง)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“บาลี : (คำนาม) ภาษาที่ใช้เป็นหลักในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท; คัมภีร์พระไตรปิฎก, พุทธพจน์, เรียกว่า พระบาลี. (ป., ส. ปาลิ).”
พจนานุกรมฯ ไม่ได้เก็บคำว่า “บาฬี” ไว้
๒ “บาลี” ในภาษาไทยมีความหมาย 2 อย่าง ตามที่พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต อธิบายไว้ ดังนี้ –
1. “ภาษาอันรักษาไว้ซึ่งพุทธพจน์”, ภาษาที่ใช้ทรงจำและจารึกรักษาพุทธพจน์แต่เดิมมา อันเป็นหลักในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ถือกันว่าได้แก่ภาษามคธ
2. พระพุทธวจนะ ซึ่งพระสังคีติกาจารย์รวบรวมไว้ คือ พระธรรมวินัยที่พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ประชุมกันรวบรวมจัดสรรให้เป็นหมวดหมู่ในคราวปฐมสังคายนา และรักษาไว้ด้วยภาษาบาลี สืบต่อกันมาในรูปที่เรียกว่าพระไตรปิฎก อันเป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนาต้นเดิม ที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท, พุทธพจน์, ข้อความที่มาในพระไตรปิฎก;
ในการศึกษาพระพุทธศาสนา มีประเพณีที่ปฏิบัติกันมาในเมืองไทย ให้แยกคำว่า “บาลี” ในความหมาย ๒ อย่างนี้ ด้วยการเรียกให้ต่างกัน คือ ถ้าหมายถึงบาลีในความหมายที่ 1. ให้ใช้คำว่า ภาษาบาลี (หรือ ศัพท์บาลี คำบาลี หรือบาลี) แต่ถ้าหมายถึงบาลีในความหมายที่ 2. ให้ใช้คำว่า พระบาลี.
…………….
สรุปว่า “บาลี” มีความหมาย 2 อย่าง คือ –
1 ภาษาบาลี
2 คัมภีร์พระไตรปิฎก
๓ ภาษาบาลีมีคำเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ภาษามคธ” (–มะ-คด) บางทีเรียกสั้นๆ ว่า “มคธ” ก็เป็นอันรู้กัน คำบาลีว่า “มาคธี ภาสา” (มา-คะ-ที พา-สา) มีความหมายว่า “ภาษาของชาวแคว้นมคธ” เนื่องจากภาษาบาลีมีกำเนิดมาจากภาษาเดิมของชาวแคว้นมคธ แต่ได้พัฒนาหลักไวยากรณ์ให้รัดกุมยิ่งขึ้น
ในการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย ใช้คำว่า “มคธ” ในความหมายว่า “ภาษาบาลี” เช่น วิชาแปลไทยเป็นมคธ คือวิชาแปลภาษาไทยเป็นภาษาบาลี
๔ มักมีผู้เข้าใจว่า ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว หมายถึงเป็นภาษาที่ไม่มีคนชาติไหนในโลกใช้ติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน
ความจริง ภาษาบาลีสามารถใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันได้เช่นเดียวกับภาษาของชาติต่างๆ ที่ใช้พูดกันในทุกวันนี้
คำว่า “ภาษาที่ตายแล้ว” นักบาลีส่วนหนึ่งพยายามให้ความหมายใหม่เป็นว่า “ภาษาที่มีแบบแผนตายตัว” ดังที่เรียกภาษาบาลีตามลักษณะนี้ว่า “ตันติภาษา” แปลว่า “ภาษาที่มีแบบแผน” คือมีกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ที่แน่นอน ทำให้ความหมายยืนตัวคงที่ และด้วยเหตุผลนี้เองท่านจึงเลือกใช้เป็นภาษาที่บันทึกหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา เพื่อมิให้คำสอนถูกตีความให้ผิดเพี้ยนไปตามยุคสมัยได้ง่ายๆ
๕ สำหรับ “บาลี” ที่หมายถึงคัมภีร์พระไตรปิฎก ควรรู้เพิ่มเติมเป็นพื้นฐานเบื้องต้นว่า คัมภีร์ในพระพุทธศาสนาท่านจัดลำดับตามอายุของคัมภีร์เป็น –
(1) “พระไตรปิฎก” หรือ “พระบาลี” (นิยมเรียกทั้งสองชื่อ) คือพระธรรมวินัยที่รวบรวมไว้ในคราวทำปฐมสังคายนาหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว 3 เดือน นับเป็นคัมภีร์ชั้นสูงสุด (ดูข้อ 2. ของพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ฯ ที่อ้างข้างต้น)
(2) “อรรถกถา” คัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ชั้นที่สอง
(3) “ฎีกา” คัมภีร์อธิบายอรรถกถา เป็นคัมภีร์ชั้นที่สาม
(4) “อนุฎีกา” คัมภีร์อธิบายฎีกา เป็นคัมภีร์ชั้นที่สี่
คัมภีร์ทุกชั้นรจนาไว้เป็นภาษาบาลี
คัมภีร์แต่ละชั้น รวมทั้งคัมภีร์ที่ต่อจากอนุฎีกาลงมา มีรายละเอียดอีกมาก แต่รู้ไว้เท่านี้ก่อน
…………….
ดูก่อนภราดา!
: อย่ามัวแต่เรียนบาลี
: จนลืมเรียนรู้วิธีไปนิพพาน
21-9-59