โพชฌงค์ (บาลีวันละคำ 1,590)
โพชฌงค์
อ่านว่า โพด-ชง
แยกศัพท์เป็น โพชฌ + องค์
(๑) “โพชฌ” บาลีเป็น “โพชฺฌ” (โพด-ชะ) รากศัพท์มาจาก พุธฺ (ธาตุ = รู้, ตื่น, เบ่งบาน) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณ (ณฺย > ย), แปลง ธ ที่ (พุ)-ธฺ กับ ย เป็น ชฺฌ, แผลง อุ ที่ พุ-(ธฺ) เป็น โอ (พุธฺ > โพธ)
: พุธฺ + ณฺย = พุธณฺย > พุธย > พุชฺฌ > โพชฺฌ (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “การรู้แจ้ง” “เครื่องรู้แจ้ง” หมายถึง ปัญญาเครื่องตรัสรู้, การตรัสรู้, การบรรลุธรรม
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “โพชฺฌ” ว่า a matter to be known or understood, subject of knowledge or understanding (เรื่องที่จะต้องรู้หรือต้องเข้าใจ, ธรรมอันเป็นที่รู้หรือเข้าใจ)
(๒) “องค์” บาลีเป็น “องฺค” (อัง-คะ) รากศัพท์มาจาก องฺคฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป; รู้) + อ ปัจจัย
: องฺคฺ + อ = องฺค (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า (1) “ร่างที่เดินได้” (2) “เหตุเป็นเครื่องรู้ที่เกิด” (คือทำให้รู้ต้นกำเนิด) (3) “ส่วนอันเขารู้ว่าเป็นส่วนย่อย”
“องฺค” ในบาลีหมายถึง –
(1) ส่วนของร่างกาย, อวัยวะ (a constituent part of the body, a limb)
(2) ชิ้นส่วน, ส่วนประกอบ (member, part)
(3) องค์ประกอบของทั้งหมด หรือของระบบ หรือส่วนย่อยที่ประกอบเข้าเป็นส่วนใหญ่ (a constituent part of a whole or system or collection)
โพชฺฌ + องฺค = โพชฺฌงฺค > โพชฌงค์ แปลว่า ธรรมอันเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –
“โพชฌงค์ : ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ หรือองค์ของผู้ตรัสรู้ มี ๗ ข้อ คือ ๑. สติ ๒ง ธัมมวิจยะ (การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม) ๓. วิริยะ ๔. ปีติ ๕. ปัสสัทธิ ๖. สมาธิ ๗. อุเบกขา.”
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต แสดงรายละเอียดของ “โพชฌงค์” ไว้ดังนี้ –
(ภาษาอังกฤษในวงเล็บ [] เป็นคำแปลของพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แสดงไว้เพื่อเปรียบเทียบ)
[281] โพชฌงค์ 7 (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ — Bojjhaŋga: enlightenment factors) [a factor or constituent of knowledge or wisdom]
1. สติ (ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง — Sati: mindfulness) [mindfulness]
2. ธัมมวิจยะ (ความเฟ้นธรรม, ความสอดส่องสืบค้นธรรม — Dhammavicaya: truth investigation) [investigation of the Law]
3. วิริยะ (ความเพียร — Viriya: effort; energy) [energy]
4. ปีติ (ความอิ่มใจ — Pīti: zest; rapture) [rapture]
5. ปัสสัทธิ (ความผ่อนคลายสงบเย็นกายใจ — Passaddhi: tranquillity; calmness) [repose]
6. สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วแน่ในอารมณ์ — Samādhi: concentration) [concentration]
7. อุเบกขา (ความมีใจเป็นกลางเพราะเห็นตามเป็นจริง — Upekkhā: equanimity) [equanimity]
แต่ละข้อเรียกเต็ม มี สัมโพชฌงค์ ต่อท้ายเป็น สติสัมโพชฌงค์ เป็นต้น.
………..
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“โพชฌงค์ : (คำนาม) องค์แห่งธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ มี ๗ ประการ; ชื่อพระปริตรที่พระสงฆ์สวดให้คนเจ็บหนักฟัง เรียกว่า สวดโพชฌงค์. (ป.).”
………..
การที่นิยมให้พระสงฆ์สวด “โพชฌงค์” ให้คนเจ็บหนักฟังก็เพราะในตำนานของโพชฌงคปริตรแสดงเรื่องราวไว้ว่า บางสมัย พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกบางองค์อาพาธ เมื่อได้สดับการสวดโพชฌงคปริตร อาพาธหรือการเจ็บป่วยนั้นก็บรรเทาหายไป จึงเกิดเป็นความนิยมให้พระสงฆ์สวดให้คนเจ็บหนักฟังสืบต่อมา
“โพชฌงค์” หรือโพชฌงคปริตรที่นิยมสวดกันนั้น ตัวหลักธรรมจริงๆ มีระบุไว้ในท่อนต้นของพระปริตร ส่วนตั้งแต่ท่อนที่ ๒ ไปเป็นการสรุปเหตุการณ์ที่มีการสวดโพชฌงคปริตรและผลที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งการตั้งความปรารถนาดีต่อผู้ที่ได้สดับ
เพื่อกระตุ้นเตือนญาติมิตรให้มีกำลังใจเจริญองค์ธรรมเครื่องรู้แจ้งให้งอกงามขึ้นในใจ และเจริญศรัทธา ขอนำบท “โพชฌงคปริตร” มาเสนอไว้ ณ ที่นี้
………………….
โพชฌงคปริตร
………………….
(๑) โพชฌังโค สะติสังขาโต..ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
วิริยัมปีติ ปัสสัทธิ……………….โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร.
โพชฌงค์ ๗ ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์
วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
สะมาธุเปกขะโพชฌังคา..สัตเตเต สัพพะทัสสินา
มุนินา สัมมะทักขาตา……ภาวิตา พะหุลีกะตา.
สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้
เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้าผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสไว้ชอบแล้ว
สังวัตตันติ อะภิญญายะ…นิพพานายะ จะ โพธิยา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ…..โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ
(๒) เอกัสมิง สะมะเย นาโถ..โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง
คิลาเน ทุกขิเต ทิสวา……….โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ.
ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้าทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะและพระมหากัสสปะอาพาธ ได้รับความลำบาก จึงทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง
เต จะ ตัง อะภินันทิตวา..โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ….โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
ท่านทั้งสองนั้นชื่นชมยินดียิ่งซึ่งโพชฌังคธรรม โรคก็หายได้ในบัดดล
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ
(๓) เอกะทา ธัมมะราชาปิ…เคลัญเญนาภิปีฬิโต
จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ……ภะณาเปตวานะ สาทะรัง.
ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเองทรงประชวรเป็นไข้หนัก รับสั่งให้พระจุนทะเถระสวดโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ
สัมโมทิตวา จะ อาพาธา..ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ…..โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ
(๔) ปะหีนา เต จะ อาพาธา…ติณณันนัมปิ มะเหสินัง
มัคคาหะตะกิเลสาวะ…………ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ……….โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
ก็อาพาธทั้งหลายของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งสามองค์นั้นหายแล้วไม่กลับเป็นอีก ดุจดังกิเลสถูกอริยมรรคกำจัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ
………..
ดูก่อนภราดา!
: ถ้าปรารถนาให้โรคภัยหายไปได้ดังใจจง
: ก็พึงระวังอย่าให้โพชฌงค์หายไปจากหัวใจ เทอญ
11-10-59