อุษณีย์ – อุษณีษ์ (บาลีวันละคำ 859)
อุษณีย์ – อุษณีษ์
อ่านว่า อุด-สะ-นี
ดูดีๆ ไม่เหมือนกัน
๑ อุษณีย์ (ย ยักษ์การันต์)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ไม่ได้เก็บคำว่า อุษณีย์ ไว้
แต่มีคำว่า อุษณ– อ่านว่า อุด-สะ-นะ- บอกไว้ว่า –
“อุษณ– : (คำนาม) ความร้อน; ฤดูร้อน; ของร้อน. (คำวิเศษณ์) ร้อน, อบอุ่น. (ส., ป. อุณฺห).”
ขีด (-) หลัง ณ– หมายความว่า ไม่มีคำที่ใช้ว่า “อุษณ” ตรงๆ แต่จะใช้ควบกับคำอื่น (มีคำอื่นมาต่อท้าย)
พจน.54 เก็บคำ “อุษณ-” ที่มีคำอื่นต่อท้ายไว้หลายคำ คือ –
(1) อุษณกร (อุด-สะ-นะ-กอน) : (คำนาม) “ผู้กระทําความร้อน” หมายถึง พระอาทิตย์.
(2) อุษณกาล (อุด-สะ-นะ-กาน) : (คำนาม) ฤดูร้อน.
(3) อุษณรัศมี (อุด-สะ-นะ-รัด-สะ-หฺมี) : (คำวิเศษณ์) มีรัศมีร้อน หมายถึง พระอาทิตย์, คู่กับ สีตลรัศมี มีรัศมีเย็น หมายถึง พระจันทร์.
(4) อุษณรุจี (อุด-สะ-นะ-รุ-จี) : (คำวิเศษณ์) มีแสงอันร้อน หมายถึง พระอาทิตย์.
(5) อุษณาการ (อุด-สะ-นา-กาน) : (คำนาม) อาการเร่าร้อน. (ส. อุษฺณาการ; ป. อุณฺหาการ).
“อุษณีย์” ถ้าสะกดอย่างนี้ คือ ย ยักษ์การันต์ ก็ต้องอธิบายตามกฎบาลีไวยากรณ์ว่า อุษณ (ความร้อน) + อีย ปัจจัย (อีย ปัจจัย มีความหมายว่า-เป็นที่ตั้งแห่ง-, ควรแก่-, เกื้อกูลแก่-)
: อุษณ + อีย = อุษณีย (อุด-สะ-นี-ยะ) > อุษณีย์ (อุด-สะ-นี) แปลตามศัพท์ว่า “เป็นที่ตั้งแห่งความร้อน” “ควรแก่ความร้อน” “เกื้อกูลแก่ความร้อน” = ถ้าต้องการความร้อนละก็-นี่แหละใช่เลย
แปลในทางบวกก็ว่า “เป็นที่ตั้งแห่งความอบอุ่น” = อยู่ที่ไหนอุ่นใจที่นั่น
อุษณีย์ < อุษณีย < อุษณ บาลีเป็น “อุณฺห” (อุน-หะ) ศัพท์เดียวกับที่ใช้ในคำว่า “อุณหภูมิ” = ระดับความสูงต่ำของความร้อน
๒ อุษณีษ์ (ษ ฤๅษีการันต์)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อุษณีษ์ : (คำนาม) มงกุฎ; กรอบหน้า. (ส.; ป. อุณฺหีส).”
อุษณีษ์ สันสกฤตเป็น “อุษฺณีษ” บาลีเป็น “อุณฺหีส” (อุน-นะ-ฮี-สะ ออกเสียง -นะ- แผ่วๆ คล้าย อุน-หฺนีด-สะ)
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อุณฺหีส” เป็นภาษาอังกฤษว่า a turban
(ผ้าโพกศีรษะ)
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน แปล “อุษฺณีษ” ว่า ศิโรเวฐน์, ผ้าโพก, มงกุฎ, รัดเกล้า a turban, a diadem, a crown.
พจน.54 มีคำว่า “อุณหิส” (อุน-นะ-หิด) บอกไว้ว่า –
“อุณหิส : (คำนาม) กรอบหน้า, มงกุฎ. (ป. อุณฺหีส; ส. อุษฺณีษ).”
อุณฺหีส – อุณหิส เป็นคำเดียวกับที่ปรากฏในพระนามเจ้าฟ้า “มหาวชิรุณหิศ” สยามมกุฏราชกุมารพระองค์แรก (มหา+วชิร+อุณหิศ)
“วชิรุณหิศ” มีความหมายว่า “มงกุฎเพชร”
สรุปว่า อุษณีษ์ – อุณหิส มีความหมายเหมือนกัน
และโปรดสังเกตบทนิยามใน พจน.54 :
– อุษณีษ์ : มงกุฎ; กรอบหน้า.
– อุณหิส : กรอบหน้า, มงกุฎ.
สันนิษฐาน : “อุษณีย์” (ย ยักษ์การันต์) มีได้อย่างไร
(1) เข้าใจว่า คำจริงๆ ที่ประสงค์คือ “อุษณีษ์” (ษ ฤๅษีการันต์) เพราะมีความหมายดี เหมาะที่จะใช้ตั้งชื่อบุคคล
(2) เราคุ้นกับคำที่ออกเสียง -นี- และมี ย การันต์ มากกว่า เช่น เสาวนีย์ พจนีย์ กรณีย์ ประกอบกับโครงสร้างรูปทรง ย กับ ษ คล้ายคลึงกลมกลืนกัน เมื่อเห็นคำ “อุษณีษ์” จึงเขียนด้วยความเข้าใจผิดเป็น “อุษณีย์” ได้อย่างสนิท
(3) ยิ่งเมื่อใช้เป็นชื่อบุคคลย่อมได้รับสิทธิพิเศษสะกดการันต์ได้ตามใจชอบ คำว่า “อุษณีย์” ซึ่งเจตนาเดิมตั้งใจหมายถึง “อุษณีษ์” จึงอยู่ในฐานะเป็นคำที่ถูกต้องไปโดยปริยาย
(4) จึงไม่ควรแปลกใจถ้าเจ้าของชื่อหรือตัวผู้ตั้งชื่อจะยืนยันว่า “อุษณีย์” (ย ยักษ์การันต์) แปลว่า มงกุฎ หรือเครื่องประดับศีรษะ
(5) อุษณ + อีย = อุษณีย > อุษณีย์ เทียบบาลีเป็น อุณฺหีย (อุณฺห+อีย) แม้ตามกฎไวยากรณ์จะมีได้ แต่ก็ยังไม่พบคำที่ใช้ในคัมภีร์ และความหมายตามศัพท์ก็ดูจะไม่น่ารื่นรมย์เท่าไรนัก ทั้งไม่เกี่ยวกับมงกุฎ หรือเครื่องประดับศีรษะแต่ประการใด
: คนฉลาดทำผิดแล้วแก้
: คนเขลาแท้ทำผิดแล้วกลบ
————-
(Tawee Thichai ถามว่า อุษณีย์ มาอย่างไร)
#บาลีวันละคำ (859)
24-9-57