บาลีวันละคำ

อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ (บาลีวันละคำ 1,609)

อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์

คำบาลีคือ “อภิธรรม” อ่านว่า อะ-พิ-ทำ

ประกอบด้วย อภิ + ธรรม

(๑) “อภิ” เป็นคำอุปสรรค มีความหมายว่า เหนือ, ทับ, ยิ่ง, ข้างบน (over, along over, out over, on top of) โดยอรรถรสของภาษาหมายถึง มากมาย, ใหญ่หลวง (very much, greatly)

(๒) “ธรรม

บาลีเป็น “ธมฺม” (ทำ-มะ) รากศัพท์มาจาก ธรฺ (ธาตุ = ทรงไว้) + รมฺม (ปัจจัย) ลบ รฺ ที่สุดธาตุ (ธรฺ > ) และ ต้นปัจจัย (รมฺม > มฺม)

: ธรฺ > + รมฺม > มฺม : + มฺม = ธมฺม (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สภาพที่ทรงไว้

ธมฺม” สันสกฤตเป็น “ธรฺม” เราเขียนอิงสันสกฤตเป็น “ธรรม

ในที่นี้ “ธรรม” หมายถึง คําสั่งสอนในศาสนา

(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ “ธรรมคาถาธรรมกถา” : บาลีวันละคำ (1,605) 26-10-59)

อภิ + ธมฺม = อภิธมฺม > อภิธรรม

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกความหมายของ “อภิธรรม” ไว้ดังนี้ –

อภิธรรม : ธรรมอันยิ่ง ทั้งยิ่งเกิน (อภิ-อติเรก) คือมากกว่าธรรมอย่างปกติ และยิ่งพิเศษ (อภิวิเสส) คือเหนือกว่าธรรมอย่างปกติ, หลักและคำอธิบายธรรมที่เป็นเนื้อหาสาระแท้ๆ ล้วนๆ ซึ่งจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบและเป็นลำดับ จนจบความอย่างบริบูรณ์ โดยไม่กล่าวถึง ไม่อ้างอิง และไม่ขึ้นต่อบุคคล ชุมชน หรือเหตุการณ์ อันแสดงโดยเว้นบัญญัติโวหาร มุ่งตรงต่อสภาวธรรม ที่ต่อมานิยมจัดเรียกเป็นปรมัตถธรรม 4 คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน, เมื่อพูดว่า “อภิธรรม” บางทีหมายถึงพระอภิธรรมปิฎก บางทีหมายถึงคำสอนในพระอภิธรรมปิฎกนั้น ตามที่ได้นำมาอธิบายและเล่าเรียนกันสืบมา เฉพาะอย่างยิ่ง ตามแนวที่ประมวลแสดงไว้ในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ, บางที เพื่อให้ชัดว่าหมายถึงพระอภิธรรมปิฎก ก็พูดว่า “อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์”

……….

อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์” หมายถึงพระอภิธรรมปิฎกประกอบด้วยคัมภีร์ต่างๆ 7 คัมภีร์ คือ –

(1) สังคณี (สัง-คะ-นี) เรียกเต็มว่า ธัมมสังคณี แปลตามศัพท์ว่า “คัมภีร์ประมวลธรรม

คำขึ้นต้นว่า “กุสะลา ธัมมา

เป็นคัมภีร์แสดงมาติกา (แม่บท) อันได้แก่บทสรุปแห่งธรรมทั้งหลายที่จัดเป็นชุดๆ มีทั้งชุด 3 เช่นจัดทุกสิ่งทุกอย่างประดามีเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากฤตธรรม ชุดหนึ่ง, เป็นอดีตธรรม อนาคตธรรม ปัจจุบันธรรม ชุดหนึ่ง, ฯลฯ และชุด 2 เช่นจัดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสังขตธรรม อสังขตธรรม ชุดหนึ่ง, รูปีธรรม อรูปีธรรม ชุดหนึ่ง, โลกียธรรม โลกุตตรธรรม ชุดหนึ่ง เป็นต้น รวมทั้งหมดมี 164 ชุด หรือ 164 มาติกา

(2) วิภังค์ (วิ-พัง) แปลตามศัพท์ว่า “จำแนก

คำขึ้นต้นว่า “ปัญจักขันธา

ยกหลักธรรมสำคัญๆ ขึ้นมาแจกแจงแยกแยะอธิบายกระจายออกให้เห็นทุกแง่จนชัดเจนจบไปเป็นเรื่องๆ รวมอธิบายทั้งหมด 18 เรื่อง

(3) ธาตุกถา (ทา-ตุ-กะ-ถา, คนเก่าออกเสียงว่า ทาด-ตุ-) แปลตามศัพท์ว่า “กถาว่าด้วยเรื่องธาตุ

คำขึ้นต้นว่า “สังคะโห

เป็นการนำข้อธรรมในมาติกาทั้งหลายและข้อธรรมอื่นๆ อีก 125 อย่าง มาจัดเข้าในขันธ์ 5 อายตนะ 12 และธาตุ 18 ว่าข้อใดได้หรือไม่ได้ในอย่างไหนๆ

(4) ปุคคลบัญญัติ (ปุก-คะ-ละ-บัน-หฺยัด) แปลตามศัพท์ว่า “บัญญัติว่าเป็นบุคคล

คำขึ้นต้นว่า “ฉะ ปัญญัตติโย

แสดงการบัญญัติความหมายของชื่อที่ใช้เรียกบุคคลต่างๆ ตามคุณธรรม เช่นว่า โสดาบัน ได้แก่ บุคคลผู้ละสังโยชน์ 3 ได้แล้ว ดังนี้เป็นต้น

(5) กถาวัตถุ (กะ-ถา-วัด-ถุ) แปลตามศัพท์ว่า “ที่ตั้งแห่งคำกล่าว” หรือ “เรื่องที่ยกขึ้นมาพูด

คำขึ้นต้นว่า “ปุคคะโล

เป็นคัมภีร์ที่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ประธานการสังคายนาครั้งที่ 3 เรียบเรียงขึ้น เพื่อแก้ความเห็นผิดของนิกายต่างๆ ในพระพุทธศาสนาครั้งนั้น ซึ่งได้แตกแยกกันออกไปแล้วถึง 18 นิกาย เช่นความเห็นว่า พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ เป็นพระอรหันต์พร้อมกับการเกิดได้ ทุกอย่างเกิดจากกรรม เป็นต้น ประพันธ์เป็นคำปุจฉาวิสัชนา มีทั้งหมด 219 กถา

(6) ยมก (ยะ-มก)

คำขึ้นต้นว่า “เย เกจิ กุสะลา ธัมมา

อธิบายหลักธรรมสำคัญให้เห็นความหมายและขอบเขตอย่างชัดเจน และทดสอบความรู้อย่างลึกซึ้ง ด้วยวิธีตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ๆ (ยมก แปลว่า “คู่”) เช่น ถามว่า ธรรมทั้งปวงที่เป็นกุศล เป็นกุศลมูล หรือว่าธรรมทั้งปวงที่เป็นกุศลมูล เป็นกุศล, รูป (ทั้งหมด) เป็นรูปขันธ์ หรือว่ารูปขันธ์ (ทั้งหมด) เป็นรูป, ทุกข์ (ทั้งหมด) เป็นทุกขสัจจ์ หรือว่าทุกขสัจจ์ (ทั้งหมด) เป็นทุกข์

(7) ปัฏฐาน (ปัด-ถาน)

คำขึ้นต้นว่า “เห-ตุ-ปัจจะโย

อธิบายปัจจัย 24 โดยพิสดาร แสดงความสัมพันธ์อิงอาศัยเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมทั้งหลายในแง่ด้านต่างๆ ธรรมที่นำมาอธิบายก็คือข้อธรรมที่มีในมาติกาคือแม่บทหรือบทสรุปธรรมซึ่งกล่าวไว้แล้วในคัมภีร์สังคณีนั่นเอง คัมภีร์ปัฏฐานนี้ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “มหาปกรณ์” แปลว่า “ตำราใหญ่” ใหญ่ทั้งโดยขนาดและโดยความสำคัญ บางทีเรียก “มหาปัฏฐานอนันตนัย” แปลว่า “ปัฏฐานใหญ่มีนัยอันไม่สิ้นสุด

โบราณาจารย์จับเอาคำต้นของชื่อคัมภีร์ทั้ง 7 มาเรียงกันเพื่อจำง่ายว่า “สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ” เรียกว่า “หัวใจพระอภิธรรมปิฎก

อรรถกถาเล่าว่า พระอภิธรรมเป็นพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโปรดพระพุทธมารดา ตลอดพรรษา ณ ดาวดึงสเทวโลก ในปีที่ 7 แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ

…………..

เวลาฟังสวดพระอภิธรรม มักมีเสียงบ่นว่าฟังไม่รู้เรื่อง ผู้รู้ท่านแนะเคล็ดลับในการฟังไว้ว่า “ฟังเทศน์เอาปัญญา ฟังสวด (พระอภิธรรม) เอาสมาธิ” คือแม้ฟังไม่รู้เรื่องก็สามารถใช้เสียงที่พระสวดเป็นอุปกรณ์เจริญสมาธิได้

…………..

: ประโยชน์ของยาอยู่ที่รักษาเจ็บไข้

: ประโยชน์ของธรรมนั้นไซร้อยู่ที่เอาไปปฏิบัติ

30-10-59