สมมุติสงฆ์ (บาลีวันละคำ 886)
สมมุติสงฆ์
อ่านว่า สม-มุด-ติ-สง
บาลีเป็น “สมฺมุติสงฺฆ” อ่านว่า สำ-มุ-ติ-สัง-คะ
ประกอบด้วย สมฺมุติ + สงฺฆ
(๑) “สมฺมุติ”
รากศัพท์มาจาก สํ (พร้อมกัน, ร่วมกัน) + มุติ
“มุติ” มาจาก มุ (ธาตุ = รู้) + ติ ปัจจัย : มุ + ติ = มุติ แปลตามศัพท์ว่า “การรู้” หมายถึง ญาณ, ปัญญา, ความรู้, ความเข้าใจ, สติปัญญา, การกำหนดรู้โดยทางประสาท, ประสบการณ์
สํ + มุติ แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น มฺ : สํ > สมฺ + มุติ = สมฺมุติ แปลตามศัพท์ว่า “การรู้พร้อมกัน” คือ รับรู้ร่วมกัน, ยอมรับร่วมกัน
คำว่า “สมฺมุติ” อาจมีรูปคำเป็น “สมฺมต” (สำ-มะ-ตะ) หรือ “สมฺมติ” (สำ-มะ-ติ) ได้อีก มีความหมายในทำนองเดียวกัน
ภาษาไทยใช้เป็น –
: สมมต อ่านว่า สม-มด
: สมมติ อ่านว่า สม-มด ถ้ามีคำอื่นมาสมาสท้าย อ่านว่า สม-มด-ติ-
: สมมุติ อ่านว่า สม-มุด ถ้ามีคำอื่นมาสมาสท้าย อ่านว่า สม-มุด-ติ-
อย่างไรก็ตาม เสียงที่ได้ยินพูดกันมากที่สุดคือ สม-มุด = สมมุติ
สมมต, สมมติ, สมมุติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า –
(1) “รู้สึกนึกเอาว่า” เช่น สมมติให้ตุ๊กตาเป็นน้อง
(2) “ต่างว่า, ถือเอาว่า” เช่น สมมุติว่าได้มรดกสิบล้าน จะบริจาคช่วยคนยากจน สมมุติว่าถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ ๑ จะไปเที่ยวรอบโลก
(3) “ยอมรับตกลงกันเองโดยปริยาย โดยไม่คํานึงถึงสภาพที่แท้จริง” เช่น สมมติเทพ
(๒) “สงฆ์” บาลีเป็น “สงฺฆ” อ่านว่า สัง-คะ
“สงฺฆ” รากศัพท์มาจาก สํ (พร้อมกัน, ร่วมกัน) + หนฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + อ ปัจจัย, แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น ง, แปลง หนฺ เป็น ฆ
: สํ > สงฺ + หนฺ > ฆ + อ = สงฺฆ แปลตามศัพท์ว่า (1) “หมู่เป็นที่ไปรวมกันแห่งส่วนย่อยโดยไม่แปลกกัน” (2) “หมู่ที่รวมกันโดยมีความเห็นและศีลเสมอกัน”
(ดูเพิ่มเติมที่ : “สงฆ์” บาลีวันละคำ (884) 19-10-57)
สมมุติ + สงฺฆ = สมมุติสงฺฆ > สมมุติสงฆ์ แปลตามประสงค์ว่า “ผู้เป็นสงฆ์โดยสมมุติ” หมายความว่า เป็นผู้ที่สังคมยอมรับตกลงกันเองโดยปริยายว่าเป็น “สงฆ์” โดยไม่คํานึงถึงสภาพที่แท้จริง
“สมมุติสงฆ์” มักใช้เมื่อกล่าวเทียบกับ “อริยสงฆ์” ทั้งนี้แสดงนัยว่า “สงฆ์” ที่แท้จริงในพระพุทธศาสนานั้นคือพระอริยบุคล (ผู้บรรลุภูมิธรรมตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป) หรือ “สาวกสงฆ์” นั่นคือหมายถึงสงฆ์อันเป็น 1 ในรัตนะ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า แม้ภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนก็มีสถานะเป็น “สงฆ์” ได้ด้วย โดยเป็น “สมมุติสงฆ์” คือ “ผู้เป็นสงฆ์โดยสมมุติ”
การเคารพในสมมุติสงฆ์โดยตั้งจิตระลึกถึงอริยสงฆ์ ท่านว่ามีผลเท่ากับได้ปฏิบัติเช่นนั้นต่ออริยสงฆ์โดยตรง ดังพระพุทธพจน์ในทักขิณาวิภังคสูตรว่า
“ดูก่อนอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีความชั่วช้าเป็นปกติ คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น
ดูก่อนอานนท์ ทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้นเราก็กล่าวว่ามีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แต่ว่าเราไม่กล่าวว่าปาฏิบุคลิกทานมีผลมากกว่าทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไร ๆ เลย”
คำว่า “ภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ” นี่เองคือเราพูดถึงกันว่า เป็นสงฆ์ชนิด “ผ้าเหลืองน้อยห้อยหู” อันเป็นชั้นต่ำสุดของสมมุติสงฆ์ แม้ถึงเช่นนั้นก็ยังตรัสว่า ทานที่ถวายแก่สงฆ์ชนิดนั้นโดยระลึกถึงอริยสงฆ์ยังมีผลมากกว่าที่ถวายเฉพาะเจาะจงแม้แก่พระพุทธเจ้า
: สมมุติไม่ใช่เรื่องจริง
: แต่เมื่อสมมุติให้เป็นอะไร ต้องเป็นให้จริง
#บาลีวันละคำ (886)
21-10-57