สมมติเทพ-หนึ่งในเทพ 3 (บาลีวันละคำ 1,640)
สมมติเทพ-หนึ่งในเทพ 3
………………………………………
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ข้อ [82] แสดงเรื่อง “เทพ 3” ไว้ดังนี้ –
เทพ 3 : (เทพเจ้า, เทวดา — Deva: gods; divine beings)
1. สมมติเทพ (เทวดาโดยสมมติ ได้แก่ พระราชา พระเทวี และพระราชกุมาร — Sammati-deva: gods by convention)
2. อุปปัตติเทพ (เทวดาโดยกำเนิด ได้แก่ เทวดาในกามาวจรสวรรค์ และพรหมทั้งหลายเป็นต้น — Upapatti-deva: gods by rebirth)
3. วิสุทธิเทพ (เทวดาโดยความบริสุทธิ์ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย — Visuddhi-deva: gods by purification)
………………………………………
สมมติเทพ
อ่านว่า สม-มด-ติ-เทบ
ประกอบด้วย สมมติ + เทพ
(๑) “สมมติ”
บาลีเป็น “สมฺมติ” อ่านว่า สำ-มะ-ติ รากศัพท์มาจาก สํ + มติ
ก) “สํ” (สัง)
เป็นคำอุปสรรค ตำราบาลีไทยแปลว่า “พร้อม, กับ, ดี” หมายถึง พร้อมกัน, ร่วมกัน (together)
ข) “มติ” รากศัพท์มาจาก มนฺ (ธาตุ = รู้) + ติ ปัจจัย, ลบ น ที่สุดธาตุ (มนฺ > ม)
: มนฺ > ม + ติ = มติ แปลตามศัพท์ว่า “ธรรมชาติที่รู้” หมายถึง
จิตใจ, ความเห็น, ความคิด; การคิดถึง, ความอยาก, ความอยากได้หรือปรารถนา (mind, opinion, thought; thinking of, hankering after, love or wish for)
สํ + มติ แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น มฺ (สํ > สมฺ)
: สํ > สมฺ + มติ = สมฺมติ แปลตามศัพท์ว่า “การรู้พร้อมกัน” คือ รับรู้ร่วมกัน, ยอมรับร่วมกัน
คำว่า “สมฺมติ” อาจมีรูปคำเป็น “สมฺมต” (สำ-มะ-ตะ) หรือ “สมฺมุติ” (สำ-มุ-ติ) ได้อีก มีความหมายในทำนองเดียวกัน
ในภาษาไทย คำที่ใช้ในความหมายเดียวกันนี้มีหลายรูปคำ (ตาม พจน.54) คือ –
สมมต (สม-มด)
สมมติ (สม-มด)
สมมติ– (สม-มด-ติ-) (มีคำอื่นต่อท้าย)
สมมุติ (สม-มุด)
สมมุติ– (สม-มุด-ติ-) (มีคำอื่นต่อท้าย)
อย่างไรก็ตาม เสียงที่ได้ยินพูดกันมากที่สุดคือ สม-มุด = สมมุติ
สมมต, สมมติ, สมมุติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า –
(1) (คำกริยา) รู้สึกนึกเอาว่า เช่น สมมุติให้ตุ๊กตาเป็นน้อง.
(2) (คำสันธาน) ต่างว่า, ถือเอาว่า เช่น สมมุติว่าได้มรดกสิบล้าน จะบริจาคช่วยคนยากจน สมมุติว่าถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ ๑ จะไปเที่ยวรอบโลก.
(3) (คำวิเศษณ์) ที่ยอมรับตกลงกันเองโดยปริยาย โดยไม่คํานึงถึงสภาพที่แท้จริง เช่น สมมุติเทพ.
(๒) “เทพ”
บาลีเป็น “เทว” (เท-วะ) รากศัพท์มาจาก ทิวฺ (ธาตุ = รุ่งเรือง, เล่น, สนุก, เพลิดเพลิน) + อ ปัจจัย, แผลง อิ ที่ ทิ-(วฺ) เป็น เอ (ทิวฺ > เทว)
: ทิวฺ + อ = ทิว > เทว (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ของตน” (2) “ผู้เพลิดเพลินด้วยเบญจกามคุณ”
ความหมายของ “เทว” ที่มักเข้าใจกัน คือหมายถึง เทพเจ้า, เทวดา
แต่ความจริง “เทว” ในบาลียังมีความหมายอีกหลายอย่าง
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “เทว” ไว้ดังนี้ –
(1) good etc. (สิ่งที่ดี และอื่นๆ)
(2) a god, a deity, a divine being (เทวดา, เทพเจ้า, เทพ)
(3) the sky, rain-cloud, rainy sky, rain-god (ท้องฟ้า, เมฆฝน, ท้องฟ้ามีฝน, เทพแห่งฝน)
สมฺมติ + เทว = สมฺมติเทว
ในภาษาไทย แผลง ว เป็น พ : สมฺมติเทว = สมมติเทพ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สมมติเทพ : (คำนาม) เทวดาโดยสมมติ หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน.”
…………..
มีคาถาบทหนึ่ง ความว่า –
หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา
สุกฺกธมฺมสมาหิตา
สนฺโต สปฺปุริสา โลเก
เทวธมฺมาติ วุจฺจเร.
สัปบุรุษผู้สงบระงับ
ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ
ตั้งมั่นอยู่ในธรรมฝ่ายขาว
ท่านเรียกว่า “ผู้มีเทวธรรม” ในโลก.
ที่มา: เทวธรรมชาดก เอกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม 27 ข้อ 6
“เทวธรรม” แปลว่า ธรรมที่ทำให้คนเป็นเทพ มี 2 อย่าง คือ –
1. หิริ : ความละอายบาป, ละอายใจต่อการทำความชั่ว (Hiri: moral shame; conscience)
2. โอตตัปปะ : ความกลัวบาป, เกรงกลัวต่อความชั่ว (Ottappa: moral dread)
(พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ข้อ [23])
…………..
: ถ้าสมบูรณ์ด้วยหิริโอตัปปะ
: แม้มิใช่ขัตติยะ ก็เป็น “เทวะ” ได้ทันที
30-11-59